ตอนที่ 458 เลิกราอย่างไม่สบอารมณ์ โรคระบาดถูกเปิดเผย (2)
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านพ่อที่เป็นห่วง ทุกอย่างราบรื่นเจ้าค่ะ”
มองท่าทางสงบนิ่งของนาง ความโกรธของหนานกงไหวก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ราบรื่นดีหรือ ราบรื่นดีแล้วไยตอนนี้เว่ยซื่อจื่อยังไม่กลับมาเล่า อายุยังน้อยแล้วยังไม่รู้จักกาลเทศะอีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เป็นเช่นไร” หนานกงมั่วมองเขาอย่างแปลกใจ เอ่ยถามเสียงเรียบ “ท่านพ่อมาพูดแทนผู้สำเร็จราชการแทนหรือฮ่องเต้พระองค์ใหม่กัน”
แววตาของหนานกงไหวมีประกายความสงสัยเกิดขึ้น ขมวดคิ้ว เอ่ย “นี่เกี่ยวอันใดกับเซียวฉุน”
หนานกงไหวมิใช่คนโง่ แม้ไม่รู้ว่าไยเซียวเชียนเยี่ยจึงรีบแต่งตั้งเซียวฉุนขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน แต่หลายวันมานี้การแสดงออกของเซียวฉุนและเซียวเชียนเยี่ยทำให้ดูออกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นมิได้ดีอย่างที่คนนอกเห็น แม้หนานกงมั่วเป็นเพียงเชื้อสายรองของเซียวเชียนเยี่ย เพียงแต่ตอนนี้ฝ่าบาทไม่อยู่แล้ว เพียงคิดหาวิธีต่อไปไม่แน่ว่าจะได้พึ่งพิง แต่หากช่วยเซียวฉุนเขาจะได้อันใด
หนานกงมั่วเข้าใจทันใด มองหนานกงไหวพร้อมเอ่ยถาม “ท่านพ่อจะเอ่ยสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
หนานกงไหวเอ่ย “ในเมื่อเว่ยซื่อจื่อมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่เพียงตอนนี้พวกเจ้าเลือกตำแหน่งที่ถูกต้อง ต่อไปแน่นอนว่าจะดี” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “ข้าไม่เข้าใจท่านพ่อกำลังเอ่ยอันใด” หนานกงไหวส่งเสียงเย็น เอ่ยเสียงเข้ม “ยามนี้อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว สถานะของเว่ยซื่อจื่อยังวางตัวไม่ถูก หากไม่มีเชื้อพระวงศ์ปกป้องเว่ยซื่อจื่อเอาไว้ต่อไปจะอยู่ได้หรือ เมื่อก่อนไม่มีใครกล้าพูดอันใดกับเขาเจ้าคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด นั่นเพราะว่าเขาเป็นหลานของฮ่องเต้ ตอนนี้เล่า น้องชายของฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ น้องชายของฮ่องเต้นั้นมีมาก ใช้ชีวิตในวันที่ไม่ราบรื่นใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเช่นนั้น”
หนานกงมั่วเท้าคาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเริ่มเข้าใจความหมายของท่านพ่อแล้ว แต่ว่า…ข้านึกว่า คนของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจึงจะเป็นคนของฮ่องเต้พระองค์ใหม่” เว่ยจวินเจ๋อและเว่ยจวินปั๋วใกล้ชิดกับเซียวเชียนเยี่ยมาตลอด และเพียงเว่ยจวินมั่วยังอยู่ที่จินหลิง เห็นชัดว่าไม่อาจอยู่ร่วมกันกับสองพี่น้องตระกูลเว่ยนั่นได้ หนานกงไหวไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “หากเว่ยจวินมั่วภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ยังต้องการพวกไร้ประโยชน์จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องพวกนั้นไปทำไม”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วไม่เอ่ยสิ่งใด เห็นชัดว่าเซียวเชียนเยี่ยถูกเซียวฉุดกดอยู่ไม่เบา ทำให้เซียวเชียนเยี่ยนึกอยากดึงเว่ยจวินมั่วเป็นพวกเลยหรือ แต่ว่าเซียวเชียนเยี่ยจะปล่อยเว่ยจวินมั่วไว้ได้จริงหรือ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ หนานกงมั่วลอบยิ้มอยู่ในใจ หากเชื่อเขา เช่นนั้นนาง หนานกงมั่วก็โง่แล้ว
แต่หนานกงไหวกล่าวไม่ผิด เว่ยจวินมั่วเพียงคนเดียวมีกำลังอำนาจกว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องพวกนั้นมาก เพียงแต่ตัวตนของเว่ยจวินมั่วนั้นคงทำให้เซียวเชียนเยี่ยริษยาอำนาจของเขาได้ เช่นอิทธิพลของเว่ยจวินมั่วต่อเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง แน่นอนว่ามิใช่คนที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะเทียบได้ด้วย หากเว่ยจวินมั่วสามารถเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องอยู่ข้างเซียวเชียนเยี่ยได้ เช่นนั้นการที่เขาจะหลุดพ้นจากการควบคุมของเซียวฉุนใช่ว่าจะทำไม่ได้ ส่วนหลังจากนั้นเล่า รอจนเขาสามารถรักษาอำนาจไว้ได้มั่นคง จะจัดการกับเว่ยจวินมั่วเยี่ยงไร นั่นไม่ใช่ว่าเพียงประโยคเดียวก็จัดการได้หรอกหรือ
เซียวเชียนเยี่ยคิดคำนวณได้ดี น่าเสียดายหนานกงมั่วมิใช่คนโง่ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในมือของเซียวฉุนนั้นยังกุมความลับชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่ว แม้เอ่ยถึงนิสัยของเซียวเชียนเยี่ยก็ไม่ใช่คนที่เหมาะสมจะร่วมมือด้วย
หนานกงมั่วมองหนานกงไหวพลางถอนหายใจ เอ่ยถาม “ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เคยเอ่ยกับท่านพ่อหรือไม่ ไยจึงโกรธเกลียดเซียวฉุนเพียงนี้”
หนานกงไหวสงสัยทว่าไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เห็นชัดว่าเขากำลังสงสัยเรื่องนี้ เพียงเชียนเยี่ยไม่ยอมเอ่ยแน่นอนตนเป็นผู้น้อยไม่อาจบังคับเขาพูดได้ หนานกงมั่วส่ายหน้ารู้สึกน่าขัน “ท่านพ่อไม่รู้แม้กระทั่งว่าไยเซียวเชียนเยี่ยจึงถูกเซียวฉุนครอบงำก็ช่วยสุดกำลังเพียงนี้ ไม่กลัวว่าถึงยามนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียหรือ”
หนานกงไหวเสียงเข้ม เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็คือฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เป็นหน้าที่ของขุนนางที่ต้องช่วยเหลือฮ่องเต้พระองค์ใหม่” หนานกงไหวไม่ชอบศึกสงคราม แต่การสนับสนุนฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ไม่มีความผิดอันใด หนานกงมั่วยกยิ้มมุมปาก ไม่คิดจะเอ่ยเตือนหนานกงไหวให้มากความ เพียงเอ่ย “ขอบคุณท่านพ่อที่เตือน เพียงแต่เรื่องของเว่ยจวินมั่วข้าคงตัดสินใจไม่ได้ ดังนั้นหากท่านพ่ออยากเอ่ยสิ่งใดก็รอเขากลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิด”
“ไม่เห็นค่าของคนอื่นเสียจริง” หนานกงไหวเอ่ยด้วยความโกรธ เห็นชัดว่าไม่เชื่อว่าหนานกงมั่วจะตัดสินใจเองไม่ได้
หนานกงมั่วมองท่าทีโกรธเกรี้ยวของเขาอย่างไม่ใส่ใจ หนานกงไหวเอ่ยเสียงเข้ม “ความสัมพันธ์ของเว่ยจวินมั่วและฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไม่ลงรอยกันเจ้าก็รู้ ตอนนี้ไม่ถวายความจงรักภักดี หรือจะรอให้พระองค์มั่นคงในอำนาจแล้วมาจัดการพวกเจ้าทีหลังอย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มร่า “นี่คือเส้นทางการเป็นขุนนางของท่านพ่อหรือเจ้าคะ ว่ากันว่าท่านพ่อเกิดในชนบท เรื่องพวกนี้ยังรู้ดีกว่าเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหลายเสียอีก หนึ่งรัชสมัยหนึ่งขุนนาง[1] ไม่แตกต่างไปจากนี้ ท่านพ่อว่าถูกหรือไม่” หนานกงไหวไม่สนใจคำเสียดสีของนาง เอ่ยเสียงเย็น “หรือว่าข้าเอ่ยไม่ถูกอย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วยักไหล่ เอ่ย “ท่านพ่อมีเส้นทางขุนนางของท่าน ข้าเองก็มีเหตุผลของข้า เพียงแต่ข้าอยากจะเตือนท่านไว้สักนิด ท่านพ่อคิดว่าคนเช่นเซียวเชียนเยี่ย…จะเป็นคนรู้สำนึกในบุญคุณหรือ เพียงแต่ ท่านพ่ออาจเพียงเห็นด้วยกับความคิดของเซียวเชียนเยี่ยถึงจะถูก เป็นข้าที่คิดมากเกินไป”
“พอแล้ว” หนานกงไหวเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดจาปลิ้นปล้อนไม่จริงใจที่นี่ ข้าคุยกับเจ้าชัดเจนแล้ว หากเจ้าคิดว่าตนเองถูกต้อง ต่อไปจะเป็นอย่างไรอย่าหาว่าข้าผู้เป็นบิดาไม่คิดสนใจเล่า”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ”
“หึ”
เป็นอีกครั้งที่สองพ่อลูกแยกจากกันไม่ดีนัก สำหรับผลครั้งนี้หนานกงไหวนั้นโกรธมาก หนานกงมั่วยังคงสงบ บอกลาหนานกงชวี่แล้วออกจากจวนฉู่กั๋วกงไปพร้อมกับหนานกงฮุย
“มั่วเอ๋อร์ ข้ากลับก่อนแล้ว ยามนี้เมืองจินหลิงยังไม่สงบ เจ้าต้องระวังตัวด้วย” ยืนอยู่นอกประตูใหญ่จวนฉู่กั๋วกง หนานกงฮุยหันมาบอกกับหนานกงมั่วด้วยความห่วงใย หนานกงมั่วพยักหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยตอบ “ข้ารู้ พี่รอง เมื่อครู่ขอบคุณท่านมาก” หนานกงฮุยยกมือขึ้นจับผม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณอันใดกัน นี่มิใช่สิ่งที่ข้าควรทำหรือ เพียงแต่หลายปีมานี้พี่รองไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี แต่ว่า…มั่วเอ๋อร์เองก็เก่ง พี่รองก็ช่วยอันใดไม่ได้มาก คงช่วยเจ้าได้เพียงต่อยเฉียวเชียนหนิงเท่านั้น”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “พี่รองและพี่สะใภ้รองเป็นอย่างไรบ้าง” สำหรับซังเนี่ยนเอ๋อร์พี่สะใภ้ที่เคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง หนานกงมั่วรู้สึกไม่เลว ซังเนี่ยนเอ๋อร์มีความสดใสร่าเริงเหมือนสตรีทั่วไป และยังละเอียดอ่อนมีเหตุมีผลดั่งเช่นสตรีในตระกูลผู้มีความรู้ แม่ทัพกุยฮว่ายังรักบุตรีดุจชีวิต หนานกงฮุยได้แต่งกับภรรยาที่ดีเพียงนี้เห็นชัดว่าหนานกงชวี่คงใส่ใจเลือกคู่สมรสให้น้องชายเป็นอย่างมาก หนานกงฮุยเองก็ดูจะชอบภรรยาที่พึ่งแต่งงานกันไม่นานมาก ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา “เนี่ยนเอ๋อร์ดีมาก เพียงแต่ข้าพึ่งแต่งงานเจ้าก็ไม่อยู่เมืองหลวง ไม่เช่นนั้นนางก็อยากไปพูดคุยเล่นกับเจ้า” เห็นได้ชัดว่าหนานกงฮุยนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ในใจยังเข้าใจดีว่าน้องสาวยังมีปมในใจกับพี่ชายทั้งสอง เขาเป็นบุรุษไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร ทำได้เพียงหวังว่าภรรยาจะสนิทสนมกับน้องสาว ไม่แน่ว่าความสัมพันธ์พี่น้องอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้
[1] หนึ่งรัชสมัยหนึ่งขุนนาง เมื่อใครขึ้นครองราชย์ขุนนางก็จะเป็นคนของกษัตริย์องค์นั้นๆ