ตอนที่ 457 เลิกราอย่างไม่สบอารมณ์ โรคระบาดถูกเปิดเผย (1)
หนานกงชวี่ยกยิ้มมุมปาก ก้มลงไปมองเฉียวเชียนหนิง เอ่ย “ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือไม่ เป็นเดรัจฉานที่มีที่มาไม่ชัดเจนก็ต้องสำนึกตัวว่าเป็นเดรัจฉาน แม้แต่จะเดินออกไปนอกจวนฉู่กั๋วกงอย่างเปิดเผยยังทำไม่ได้ ยังคิดอยากอวดเก่งต่อหน้าบุตรเชื้อสายหลักอย่างนั้นหรือ เฉียวซื่อลืมคลอดสมองเจ้าออกมาด้วยหรือ” หนานกงชวี่นั้นไม่ด่าใคร แต่เมื่อด่าแล้วทุกคำนั้นสะกิดใจคนอย่างแน่นอน ไม่เพียงเฉียวเชียนหนิง เฉียวเฟยเยียนที่ถูกโจมตีด้วยก็ยังสั่นคลอน
“คุณชายใหญ่ หนิงเอ๋อร์เป็นน้องชายของท่านนะ ไยท่านจึงใช้วาจาร้ายกาจด่าทอเขาเช่นนี้” เฉียวเฟยเยียนร้องไห้สะอึกสะอื้น
หนานกงชวี่ยิ้มเย็น เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามีน้องชายคนเดียว รอเขาได้แซ่หนานกงเมื่อใด ค่อยมาเอ่ยคำนี้กับข้า”
หนานกงไหวรู้สึกว่าตนเองแทบจะถูกลูกไม่รักดีทั้งสามทำให้โกรธจนตายแล้ว ยื่นมือไปประคองเฉียวเฟยเยียน เอ่ยเสียงเย็น “พวกเจ้าไม่เห็นว่าข้าเป็นบิดาแล้วหรือ”
ใบหน้าของหนานกงชวี่ไม่ดีนัก เอ่ยราบเรียบ “ท่านพ่อไล่ลูกออกจากบ้าน คิดจะให้เฉียวซื่อแม่ลูกเข้ามาอยู่ในบ้านหรือ” หนานกงไหวสะอึก แม้เขาจะหวังเช่นนั้นจริง แต่ตราบใดที่เขายังไม่บ้าก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ตระกูลหนานกงต่อให้ไม่มีหนานกงชวี่และหนานกงฮุย เฉียวเชียนหนิงก็ไม่อาจรับตำแหน่งผู้สืบทอดได้ ตรงกันข้ามอาจเป็นคนในเครือญาติตระกูลหนานกง ยามนี้หนานกงฮุยแยกเรือนออกไปแล้ว ถึงอยากยกตำแหน่งฉู่กั๋วกงให้สืบทอดต่อไป เขาก็เหลือเพียงหนานกงชวี่ที่เป็นตัวเลือกแล้ว หากบอกว่ามอบให้ญาติหรือ หนานกงไหวไม่เคยใจกว้างเพียงนั้น
หนานกงมั่วรู้สึกว่าตนดูละครฉากนี้มาพอสมควรแล้ว เห็นภาพน่าเวทนาของเฉียวเชียนหนิงและเฉียวเฟยเยียน ในใจพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เอ่ย “ท่านพ่อ ท่านเรียกข้ามาคงไม่ได้มาให้บุตรชายนอกสมรสตีหรอกใช่หรือไม่ อยากจะตีข้าคงไม่ต้องรีบร้อน เพียงแต่ไม่รู้…ผลที่ตามมาหลังจากตีแล้วเขาจะรับไหวหรือไม่ ต่อให้ลูกมิได้สำคัญสำหรับท่าน ก็ยังเป็นจวิ้นจู่ที่อดีตฮ่องเต้เป็นผู้แต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เป็นสะใภ้ขององค์หญิงฉังผิง ท่านว่าใช่หรือไม่”
มองหนานกงมั่วที่เข้าร่วมก่อกวนด้วย หนานกงไหวโกรธถึงที่สุดทว่าทำอันใดไม่ได้ หนานกงมั่วเอ่ยไม่ผิด หากเฉียวเชียนหนิงทำให้หนานกงมั่วได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นผลที่ตามมาคงไม่ใช่เพียงโดนดุโดนด่าแล้วจะจบไปง่ายๆ เมื่อเทียบกันแล้ว หนานกงฮุยนับว่าช่วยเฉียวเชียนหนิงเอาไว้ แน่นอนว่าหนานกงไหวย่อมสงสัย เฉียวเชียนหนิงนั้นใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงมั่วหรือไม่
สูดหายใจเข้าลึก หนานกงไหวจ้องหนานกงมั่วนิ่ง เอ่ย “เจ้าคิดจะเอาอย่างไร” หนานกงไหวเข้าใจ แม้หนานกงมั่วไม่ได้เอ่ยอันใดมาก แต่คนเดียวที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์สุดท้ายในเรื่องนี้คงเป็นนาง บุตรีผู้นี้ หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “พี่รองทำไปเพราะเป็นห่วงข้าเท่านั้น เรื่องเฉียวเชียนหนิงคิดทำร้ายข้า เห็นแก่หน้าท่านพ่อถือว่าแล้วกันไปเถิด เรื่องในวันนี้ให้มันจบตรงนี้ ท่านพ่อ ท่านคิดเช่นไร”
ยังจะทำอันใดได้อีก เพียงแต่เผชิญหน้ากับสายตาคับแค้นใจของเฉียวเฟยเยียนและสายตาไม่พอใจของเฉียวเชียนหนิง ภายใต้รอยยิ้มหวานของหนานกงมั่วหนานกงไหวทำได้เพียงกัดฟันอดกลั้นเอาไว้
หนานกงมั่วหันกลับไปหาหนานกงชวี่ เอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ท่านยังมีอันใดอยากเอ่ยหรือไม่”
หนานกงชวี่เอ่ยตอบเสียงเรียบ “ไม่มี”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วน้อยๆ คนฉลาดยังรู้เลยว่าควรเอ่ยความต้องการออกมาสักอย่างในเวลานี้ ทว่าหนานกงชวี่กลับไม่คิดจะทำอย่างนั้น แน่นอนว่าหนานกงชวี่มิได้โง่เขลา เช่นนั้นแล้วเขาคิดจะทำสิ่งใด มองใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงชวี่ ไม่รู้ทำไมหนานกงมั่วกลับอ่านได้ถึงความโหดร้ายและลางร้ายบนนั้น
หนานกงไหวโบกมือสั่งคนพาเฉียวเชียนหนิงออกไป เฉียวเฟยเยียนเช็ดน้ำตาแล้วตามออกไป เพิ่งเดินถึงประตู พลันได้ยินเสียงเย็นของหนานกงมั่วดังตามมา “เฉียวฮูหยิน ของที่ไม่ใช่ของของตนทางที่ดีอย่าได้หวังลมๆ แล้งๆ อย่าลืมสิ่งที่ข้าบอกไปเล่า”
เฉียวเฟยเยียนเข้าใจว่าหนานกงมั่วหมายถึงประโยคใดได้อย่างแปลกประหลาด ประโยคนั้น… ‘นายหญิงใหญ่คนต่อไปเป็นหญิงม่ายได้ แต่ไม่มีทางเป็นหญิงม่ายที่ไร้ยางอาย’ กัดฟัน เฉียวเฟยเยียนหันกลับมามองหนานกงมั่ว ดวงตาจมลึก “ข้าจำได้แล้ว ซิงเฉิงจวิ้นจู่”
มองแผ่นหลังของนางหายลับไปที่ประตู มุมปากของหนานกงมั่วยกยิ้มขึ้นราวกับสนอกสนใจ คนที่ทำให้หนานกงไหวเฝ้าคนึงหาตลอดสิบกว่าปี ทำให้หวาหนิงจวิ้นอ๋องโปรดปรานหนึ่งเดียวมาสิบกว่าปี อีกทั้งยังเป็นสตรีที่มีความสัมพันธ์กับเซียวฉุน อาศัยเพียงใบหน้างดงามน่าสงสารเท่านั้นจริงหรือ
เฉียวเย่ว์อู่ที่ยืนนิ่งมองทุกคนด้วยสีหน้าไม่เบิกบานอยู่ที่หน้าประตู ทว่าไม่เอ่ยสิ่งใดและหมุนตัวเดินออกไป
หนานกงไหวโบกมือให้บ่าวรับใช้ในห้องโถงใหญ่ถอยออกไป หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ส่งสัญญาณให้เหล่าจือซูออกไปด้วย ห้องโถงใหญ่พลันเหลือเพียงพ่อลูกสี่คน บรรยากาศเยือกเย็นขึ้นมา
หนานกงมั่วมองหนานกงไหวที่มีสีหน้าสับสนไม่แน่นอนด้วยสายตาเรียบนิ่ง เนิ่นนานจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “ท่านพ่อส่งคนไปตามข้ากลับมา มีอันใดอยากเอ่ยหรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงไหวมองไปยังหนานกงชวี่และหนานกงฮุย เอ่ยเสียงเข้ม “ไปคุยกันที่ห้องหนังสือ”
หนานกงมั่วยักไหล่ หลุบตาลง เอ่ย “ข้าพอคาดเดาได้ว่าท่านพ่อจะเอ่ยอันใด เมื่อครู่เฉียวซื่อเอ่ยกับข้าแล้ว”
หนานกงไหวชะงัก มองหนานกงมั่วด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจนักว่าเฉียวเฟยเยียนจะเอ่ยกับนางได้ ในสายตาของหนานกงไหว เฉียวเฟยเยียนเป็นเพียงสตรีผู้อ่อนหวาน สตรีผู้อ่อนแอบอบบางต้องการคนดูแล หนานกงมั่วเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “หรือว่าท่านพ่อมิได้อยากคุยกับข้าเรื่องผู้สำเร็จราชการแทนหรอกหรือ”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว “เรื่องของเซียวฉุน เกี่ยวอันใดกับเยียนเอ๋อร์”
หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นท่าทางตกใจ “ไม่เกี่ยวหรือ แต่ข้าได้ยินมาว่าเฉียวซื่อและผู้สำเร็จราชการแทนเป็นสหายเก่า เมื่อครู่เฉียวซื่อยังเตือนข้าอ้อมๆ ว่าตอนนี้มีผู้สำเร็จราชการแทนคอยหนุนหลัง ไม่ให้ข้าทำอันใดที่มันเกินไป” สีหน้าหนานกงไหวทะมึนลงทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด คำพูดของบุตรีผู้นี้ หนานกงไหวอย่างมากก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด เอ่ยเสียงเรียบ “ไปห้องหนังสือ บิดามีเรื่องจะหารือกับเจ้า”
หนานกงมั่วลุกขึ้น “ตามที่ท่านพ่อต้องการ”
เห็นชัดว่าหนานกงไหวไม่ได้คิดจะเรียกหนานกงฮุยและหนานกงชวี่ หนานกงฮุยเองไม่ใส่ใจ โบกมือให้หนานกงมั่ว เอ่ย “มั่วเอ๋อร์ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ห้องโถง พวกเรากลับไปพร้อมกัน”
หนานกงมั่วส่งยิ้มบางให้เขา รู้สึกดีกับพี่ชายคนรองที่คิดอันใดง่ายๆ หนานกงไหวกลับส่งเสียงเย็น เดินนำหนานกงมั่วออกมาจากห้องโถง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ปรายตามองบุตรชายทั้งสองเลยสักนิด
ห้องหนังสือที่เงียบสงบ หนานกงมั่วและหนานกงไหวนั่งอยู่คนละฝั่งทว่าทั้งสองกลับไม่มีใครมีทีท่าจะเอ่ยขึ้นก่อน หนานกงมั่วนั่งพิงพนักเก้าอี้มองบุรุษตรงหน้าที่นางเรียกว่าบิดา หนานกงไหวเองก็มองไปยังบุตรีด้วยความสับสน เนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “เรื่องที่หลิงโจวเป็นเยี่ยงไรแล้ว”
บางทีหนานกงมั่วอาจมิใช่บุตรีที่หนานกงไหวรักและเอ็นดูที่สุด แต่กลับเป็นเด็กที่ทำให้เขารู้สึกสับสนเป็นที่สุด บุตรีที่เดิมทีควรลบล้างออกจากสมองผู้นี้ ทว่ากลับมาจินหลิงแล้วทำให้เขาประหลาดใจแล้วประหลาดใจอีก เมื่อเทียบกับบุตรชายคนรองที่หุนหันพลันแล่น บุตรีคนรองที่ถูกเอาอกเอาใจจนไม่รู้หนักเบา กระทั่งบุตรชายคนโตที่ดูไม่ออกถึงความรักโลภโกรธหลง บุตรีผู้นี้ดูจะฉลาดที่สุด หากหนานกงมั่วถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายเขามาตั้งแต่เด็ก บางทีหนานกงไหวอาจจะภูมิใจกับบุตรีผู้นี้ แต่ยามนี้สถานการณ์นั้นเห็นชัดแล้วว่าบุตรีผู้นี้มิได้เห็นเขาผู้เป็นบิดาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ หลังจากถูกกวาดสายตามองครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทางเย่อหยิ่งสูงส่งของหนานกงมั่วทำให้เขาไม่อาจทำอันใดเพื่อดึงหนานกงมั่วมาเป็นพวกได้