ตอนที่ 462 ความโศกเศร้าของพระชายารัชทายาท (3)
เห็นชัดว่าเซียวฉุนเองก็มิได้อยากทะเลาะกับเซียวเชียนเยี่ยต่อหน้าคนอื่น โบกปัดมือพร้อมเปลี่ยนเรื่อง “ฝ่าบาทไม่แปลกใจหรือ ไยข้าจึงมาหาพระสนมหลินกุ้ยเฟย”
เซียวเชียนเยี่ยเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็นั่งลง เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเองก็อยากรู้ เสด็จปู่รองมีเรื่องสำคัญอันใดอยากพบไท่กุ้ยเฟย”
เซียวฉุนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กุ้ยเฟยผู้นี้สำหรับอดีตฮ่องเต้นั้นเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก อดีตฮ่องเต้พึ่งจากไป กุ้ยเฟยก็ป่าวประกาศข่าวโคมลอยไปทั่ว บอกว่าข้ากับฝ่าบาททำให้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทต้องตาย หึหึ…ศพของอดีตฮ่องเต้ยังไม่ทันเย็น ดูเหมือนพระสนมจะอยากไปอยู่กับฝ่าบาท”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยยิ้มเย็น เอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือ”
เซียวฉุนมองสำรวจพระสนมหลินกุ้ยเฟย “พระสนมกล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าคงไม่กลัว เสด็จพี่ช่างโชคดี เมื่อก่อนมีพี่สะใภ้คอยเป็นห่วงเป็นใย ต่อให้แก่แล้วก็ยังมีพระสนมหลินกุ้ยเฟยที่รักและคิดถึงเพียงนี้”
เซียวฉุนเอ่ยออกมาท่ามกลางสีหน้าประชดประชันของเซียวฉุน พระสนมหลินกุ้ยเฟยกัดฟันไม่เอ่ยสิ่งใด
สีหน้าของเซียวฉุนพลันเปลี่ยน เอ่ยเสียงเย็น “กระหม่อมรู้ว่าพระสนมไม่กลัวตาย แต่ท่านกลัวการอยากมีชีวิตอยู่แต่ไม่มี อยากตายแต่ไม่ตายหรือไม่” พระสนมหลินกุ้ยเฟยมองเซียวฉุนนิ่ง เซียวฉุนเอ่ยเสียงเนิบนาบ “พระสนมจะเอ่ยสิ่งใดต่อหน้าพระชายารัชทายาทกระหม่อมไม่ใส่ใจ แต่สิ่งที่ข้าสนใจก็คือ…พระองค์จะนำวาจาพวกนี้ไปเอ่ยกับคนอื่นหรือไม่ อย่างไรเสีย…ต่อให้เพื่อโอรสของตน ไม่ว่าพระชายารัชทายาทจะได้ยินอันใดนางก็ไม่มีทางแพร่งพรายออกไป”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยเอ่ย “ที่แท้เป็นเจ้าที่ทำให้ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทต้องตาย”
เซียวเชียนเยี่ยสีหน้าพลันเปลี่ยน เอ่ยด้วยความโกรธ “พระสนมหลินกุ้ยเฟยโปรดระวังวาจา”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยยิ้มเย็นอย่างไม่พอใจ ปรายตามองเซียวเชียนเยี่ย เอ่ยเสียงเย็น “น่าเสียดายที่เมื่อครั้งฝ่าบาทยังอยู่นั้นรักและเอ็นดูเจ้าเพียงใด ช่างจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงหมาป่า เจ้าเหมาะที่จะนั่งบนบัลลังก์หรือ”
“เรื่องเสด็จปู่และเสด็จพ่อนั้นไม่เกี่ยวกับข้า” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยเสียงดัง ทว่าเพียงมองใบหน้าเย็นชาของพระสนมหลินกุ้ยเฟยก็รู้ว่านางไม่เชื่อตนเองเลยสักนิด จากท่าทีของพระสนมหลินกุ้ยเฟยทำให้เซียวเชียนเยี่ยได้รู้ว่าเพียงข่าวถูกปล่อยออกไป เขาจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด ไม่มีใครเชื่อเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นตอนนี้เขากับเซียวฉุนนั้นถูกผูกเข้าด้วยกันเสียแล้ว แม้จะโกรธแค้นกัน ทว่าต้องร่วมมือและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เซียวฉุนลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างพระสนมหลินกุ้ยเฟย ยกมือขึ้นบีบปลายคางพระสนม เอ่ยถาม “บอกกระหม่อมมา ใครบอกเรื่องเหล่านี้แก่พระองค์”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยยิ้มเย็นไม่เอ่ยสิ่งใด เซียวฉุนเลิกคิ้ว เอ่ย “ความจริงพระองค์ไม่พูด ข้าเองก็รู้ ยามนี้ในเมืองจินหลิง นอกจากซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็ไม่มีใครอื่นแล้ว มิใช่หรือ”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยไม่ยอม เอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือคิดว่าคนทั่วทั้งจินหลิงโง่หรือ จวิ้นอ๋องที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงมาตลอดยี่สิบกว่าปีพลันได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน หากระหว่างพวกเจ้าไม่มีการคบค้าที่น่าอายไม่อาจเปิดเผยได้ ก็คงมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผยต่อผู้ใดได้”
“เหอะ ดูเหมือนว่า…พระองค์จะไม่อยากมีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วสินะ” ดวงตาของเซียวฉุนฉายแววเย็นเยียบ พระสนมหลินกุ้ยเฟยเพียงยิ้มไม่เอ่ยสิ่งใด
“ช้าก่อน” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยขึ้นมากะทันหัน จ้องเซียวฉุนเขม็ง “เจ้าหมายความว่าหนานกงมั่วก็รู้เรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ”
เซียวฉุนเอ่ย “หรือว่าเจ้าคิดว่านี่เป็นความลับมากหรือ ซิงเฉิงจวิ้นจู่มาถึงจินหลิงก่อนพวกเรา เจ้าคิดว่านางรู้หรือไม่ นอกจากนี้วันที่เสด็จพี่สวรรคต ซิงเฉิงจวิ้นจู่เองก็อยู่ในวังเช่นกัน”
“อะไรนะ” เซียวเชียนเยี่ยตกใจ ใบหน้าเปลี่ยนไปมาไม่นิ่ง หลังจากกลับเมืองหลวงมาเกิดเรื่องมากมายทำให้เขากดดัน ไม่มีเวลาไปสนใจหนานกงมั่วสตรีเพียงคนเดียว แต่ถ้าหนานกงมั่วเองก็รู้เรื่องนี้แล้วล่ะก็…
เซียวฉุนมองไปยังเซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้ว เอ่ย “เชียนเยี่ย เสด็จปู่รองมีข้อเสนอแนะให้กับเจ้า ทางที่ดี…อย่าได้ไปหาเรื่องหนานกงมั่วสตรีผู้นั้น เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้ว แม้จะไม่เห็นด้วย เมื่อก่อนเขาเสียเปรียบและตกอยู่ในกำมือหนานกงมั่วหลายต่อหลายครั้ง แต่นั่นเพราะเขาเป็นเพียงหวงจั่งซุนเท่านั้น หลายเรื่องยังคงถูกควบคุม ตอนนี้เขาใกล้ขึ้นครองบัลลังก์ จากสถานะแล้วเขาได้เปรียบอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของหนานกงมั่วหนานกงไหวเองก็ภักดีต่อตนเอง เว่ยจวินมั่วไม่ได้อยู่ในจินหลิง บอกได้ว่าหนานกงมั่วไม่มีที่พึ่งแล้ว
เห็นเขาเป็นเช่นนั้น เซียวฉุนจึงทำได้เพียงส่ายหน้าอยู่ในใจ เอ่ยถึงอำนาจตอนนี้หนานกงมั่วสู้เซียวเชียนเยี่ยไม่ได้นั่นไม่ผิด แต่ความพะว้าพะวงหนานกงมั่วมีน้อยกว่าเซียวเชียนเยี่ยมาก ยามนี้สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนของหนานกงมั่วที่อยู่ในจินหลิงมีเพียงองค์หญิงฉังผิงเท่านั้น แต่องค์หญิงฉังผิงเป็นเสด็จอาของเซียวเชียนเยี่ย น้องสาวของเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง แตะต้ององค์หญิงฉังผิงเท่ากับว่าหาความยุ่งยากใส่ตัว ดังนั้น เมื่อบีบหนานกงมั่วให้จนมุมสุดท้ายใครที่จะซวยยังบอกไม่ได้ ที่เซียวฉุนยังอยู่นิ่งได้นั่นเป็นเพราะในมือของเขามีชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่ว เพื่อสิ่งนี้ หนานกงมั่วไม่มีทางหักหน้าเขาง่ายๆ และเซียวฉุนเองไม่อยากเอาความสนใจไปรวมอยู่ที่หนานกงมั่วมากนัก สำหรับพวกเขาแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกุมอำนาจราชสำนัก รีบนั่งบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง
เพียงแต่หากเซียวเชียนเยี่ยอยากทุบกำแพงตัวเอง เซียวฉุนก็พร้อมที่จะพับแขนเสื้อนั่งดู แน่นอนหากเซียวเชียนเยี่ยโชคดีสามารถกำจัดหนานกงมั่วได้ก็เป็นเรื่องที่ดี
ความจริงตั้งแต่กลับมาจินหลิงเซียวเชียนเยี่ยก็เริ่มมีอาการหวาดระแวง มักรู้สึกว่าไม่รู้เมื่อไรเรื่องสาเหตุการตายของเสด็จพ่อและเสด็จปู่จะถูกแพร่งพรายออกไป ถึงตอนนั้นตนเองไม่เพียงไม่อาจขึ้นนั่งบนบัลลังก์ได้ ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวไม่มีที่ซุกหัวนอน กระทั่งฝันร้ายว่าตนเองนั้นถูกคนทั่วทั้งแผ่นดินรังเกียจ ดังนั้น เซียวเชียนเยี่ยจึงโกรธแค้นเซียวฉุนที่ดึงตนเองมาอยู่ในสภาพนี้เป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกัน สำหรับคนที่รู้ความลับนี้ เซียวเชียนเยี่ยแทบอยากจะฆ่าให้ตายเพื่อความสบายใจ
“พระสนมหลินกุ้ยเฟย เสด็จปู่คิดจะจัดการเช่นไร” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยถาม
เซียวฉุนยิ้ม เอ่ย “ฝ่าบาทคิดจะจัดการเยี่ยงไร”
เซียวเชียนเยี่ยจ้องมองหลินกุ้ยเฟย ไอสังหารแผ่ออกมาจากสายตาโดยไม่คิดปิดบัง “กระจายข่าวลือ ทำให้วังหลังวุ่นวาย เป็นที่โปรดปรานของเสด็จปู่เมื่อครั้งยังมีชีวิต ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไปอยู่ร่วมกันกับเสด็จปู่เถิด”
เซียวฉุนปรบมือหัวเราะ “เป็นความคิดที่ดี ฝ่าบาทสมแล้วที่เป็นฝ่าบาท ดูเหมือนว่าข้าจะมิได้ดูคนผิด”
เซียวเชียนเยี่ยเบ้ปาก ทำราวกับไม่ได้ยินวาจาเสียดสีจากเซียวฉุน เอ่ยกับคนข้างๆ “ประหารพระสนมหลินกุ้ยเฟย คนอื่นๆ ในตำหนักหย่งอัน…ฝังไปพร้อมกับพระสนมเถิด”
เมื่อเอ่ยจบ นางกำนัลขันทีที่นั่งอยู่บนพื้นต่างก็ร้องขอชีวิต ดวงตาของเซียวเชียนเยี่ยเย็นชา “เอาตัวไป”
“องค์หญิงฉังผิงเสด็จ” ด้านนอก เสียงดังเอ่ยรายงาน เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้ว ยังไม่ทันเอ่ยอันใดก็เห็นองค์หญิงฉังผิงที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวเดินเข้ามาพร้อมกับหนานกงมั่ว
เข้ามาในห้องโถง องค์หญิงฉังผิงกวาดตามองทุกคน เลิกคิ้วเอ่ย “ทำอันใดกันหรือ” สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยหนักอึ้ง “เสด็จอา เข้ามาในวังไยจึงไม่ให้คนมาทูลรายงาน วังหลังเป็นสถานที่ที่จะเข้ามาได้ตามอำเภอใจหรือ”