ตอนที่ 470 โดนบังคับให้ติดกับดัก (3)
จิ้นจั๋วเอ่ย “ต่อให้เขาไม่ส่งคนมาลอบสังหาร ก็สามารถหาเรื่องเจ้าได้ตลอดเวลา”
หนานกงมั่วเอ่ย “ตอนนี้คนที่คอยหาเรื่องเขานั้นมีมากกว่า”
“ก็ยังคงคำเดิม ว่าเจ้าไม่ไปอย่างนั้นหรือ” จิ้นจั๋วเอ่ยอย่างฉุนเฉียว เขารับปากเว่ยจวินมั่วว่าจะคุ้มกันหนานกงมั่ว หากเกิดสิ่งใดขึ้น ใครจะรู้ว่าเจ้าบ้าเว่ยจวินมั่วจะมาโกรธเขาหรือไม่ และเขาไม่ถนัดเรื่องการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างผู้มีอำนาจเหล่านี้เลย
หนานกงมั่วพยักหน้าจริงจัง “ข้าจะไปไหนได้” นางไม่มีความสนใจต่อการหลบหนี หากออกไปจากจินหลิง เป็นการเปิดทางให้เชียนเยี่ยและเซียวฉุนส่งคนตามล่านาง ถึงตอนนั้นหนทางคงมีแต่ขวากหนาม
จิ้นจั๋วสูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “เอาเถิด ข้าจะยอมเป็นองครักษ์ให้เจ้าช่วงเวลาหนึ่งก็แล้วกัน หวังว่าก่อนเว่ยจวินมั่วจะกลับมาเจ้าคงไม่เอาชีวิตของตนเองไปทิ้งหรอกนะ”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “เช่นนั้นคงต้องขอบคุณหัวหน้าจิ้นแล้ว” มีคนไม่ใช้ก็โง่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยอดฝีมืออย่างจิ้นจั๋วอีก
มีคนบุกรุกจวนเยี่ยนอ๋องย่อมมิใช่เรื่องเล็ก อย่างไรการจัดการศพกว่าเจ็ดแปดศพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน แน่นอนว่าหนานกงมั่วก็มิได้ตั้งใจจัดการจนไร้ร่องรอย เซียวเชียนเยี่ยกล้าส่งคนมาสังหารนาง หากนางปล่อยผ่านเงียบๆ แบบนี้ เซียวเชียนเยี่ยคงคิดว่านางชอบอดทนอดกลั้น
รุ่งเช้าผู้บัญชาการปัญจทิศคุ้มกันเมืองและเหอเหวินลี่ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนก็เดินเข้ามาในจวนเยี่ยนอ๋อง มองเห็นศพที่วางเรียงกันอยู่ที่สวนดอกไม้จวนเยี่ยนอ๋อง ใบหน้าของหลายคนนั้นเขียวแล้ว เมืองจินหลิงที่อยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์แท้ๆ อีกทั้งยังเป็นจวนของผู้ปกครองเมืองอีก ที่พักชั่วคราวขององค์หญิงฉังผิงกลับมีคนกล้าเข้ามาลอบสังหาร ราวกับเป็นการตบหน้าผู้ดูแลคุ้มกันเมืองหลวงอย่างพวกเขา
ผู้บัญชาการกองปัญจทิศคุ้มกันเมืองคือชายวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบ มองหนานกงมั่วที่ยืนมองตาไม่กะพริบอยู่ด้านข้าง รวมไปถึงองค์หญิงฉังผิงที่นั่งดื่มชาอยู่ในศาลา เหลือบมองเหอเหวินลี่ที่กำลังย่อตัวลงตรวจสอบศพอยู่ถัดจากเขาด้วยใบหน้าขมขื่น แม้เขาจะเป็นขุนพล แต่ข้าราชการพลเรือนของอาณาจักรเซี่ยเดิมทีก็กล้าหาญกว่าขุนพลอยู่แล้ว เวลานี้…เขาก็คาดหวังให้เหอเหวินลี่แสดงความกล้าหาญของข้าราชการพลเรือนช่วยบังอยู่ด้านหน้า
เหอเหวินลี่ปัดมือลุกขึ้น ถอนหายใจออกมาต่อเนื่องทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด ผู้บัญชาการจนปัญญา ทำได้เพียงกระแอมไอ เอ่ย “ไต้เท้าเหอ เห็นอันใดแล้วหรือไม่”
เหอเหวินลี่แบมือออก “ผู้บัญชาการเซี่ยถามผิดคนแล้ว ข้ามิใช่ผู้ตรวจสอบศพ จะดูออกได้เยี่ยงไร”
แล้วที่เจ้าย่อตัวดูอยู่ตั้งนานอีกทั้งยังถอนหายใจต่อเนื่องนั่น กำลังทำอันใดอยู่เล่า
เหอเหวินลี่เอ่ย “ข้าเพียงตกใจ ช่างกล้าดีเยี่ยงไรจึงลงมือในเมืองหลวงที่อยู่ใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ ยามนี้เป็นช่วงไว้ทุกข์ของชาวอาณาจักรเซี่ย กองปัญจทิศคุ้มกันเมืองของพวกท่านหากยุ่งมากก็เชิญกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวงมาช่วยสิ หรือไม่ก็ให้หยาเหมินเขตอิ้งเทียนส่งคนมาช่วยด้วยดีหรือไม่” ตั้งแต่โบราณข้าราชการพลเรือนและขุนพลนั้นต่างก็เป็นอริกันมาช้านาน เมื่อมาเจอกันจึงทะเลาะกันก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน
“ขอบคุณไต้เท้าเหอที่ตักเตือน” ผู้บัญชาการเซี่ยกัดฟันเอ่ย
“ไม่ต้องเกรงใจ” เหอเหวินลี่ยิ้มตาหยีตอบ
“ทั้งสองท่านได้อันใดแล้วหรือไม่” ทางด้านข้าง หนานกงมั่วเอ่ยถามเสียงราบเรียบ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหอเหวินลี่หุบฉับไปทันที หันกลับมารายงานต่อหนานกงมั่วด้วยท่าทีนอบน้อม เอ่ย “รายงานจวิ้นจู่ ข้าน้อยเห็นเพียง…คนลอบสังหารพวกนี้เกรงว่า…คงไม่ใช่คนในยุทธภพ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “โอ้ ท่านคิดเช่นไร” เหอเหวินลี่ขมวดคิ้วสงสัย “มือของคนเหล่านี้กระด้างอยู่ในจุดเดียวกัน เห็นชัดว่าเกิดขึ้นจากอาวุธชนิดเดียวกัน กระทั่งระยะเวลาการฝึกฝนเองก็เหมือนกัน นี่แตกต่างไปจากจอมยุทธ์ในยุทธภพ แต่เหมือนกับ…” ในยุทธภพนั้น แม้แต่มือสังหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็ยังมีการจัดระเบียบอาวุธและความสามารถที่แตกต่างกัน เสื้อผ้า อาวุธ และแม้แต่การฝึกฝนยังเป็นระบบเดียวกันเช่นนี้คล้ายกับคนในกองทัพ หรือองครักษ์ที่ผู้มีอำนาจลอบฝึกฝนเอาไว้
คิดมาถึงตรงนี้ เหอเหวินลี่จึงมองหนานกงมั่วอย่างอึดอัดใจ หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ผู้บัญชาการเซี่ยที่อยู่ด้านข้างพลันรู้สึกหดหู่ จ้องเหอเหวินลี่ดวงตาแทบถลนออกมา เจ้าบอกว่าดูไม่ออกไม่ใช่หรือ
หนานกงมั่วใบหน้าเรียบนิ่งทว่ากลับยิ้มเย็นอยู่ในใจ นางคิดว่าเซียวเชียนเยี่ยไม่มีทางหาจอมยุทธ์มือสังหารจากยุทธภพได้เร็วเพียงนั้น
เหอเหวินลี่ถอนหายใจ เดินเขาไปหยุดอยู่ด้านข้างหนานกงมั่ว เอ่ยถามเสียงเบา “จวิ้นจู่มีเบาะแสหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “หากมีเบาะแส ไยข้าต้องเชิญทั้งสองท่านมาเล่า ยามนี้ซื่อจื่อไม่อยู่ ที่นี่มีเพียงข้ากับเสด็จแม่สตรีบอบบางเพียงสองคน เมื่อคืนเสด็จแม่ก็ตกใจไม่น้อย ขอไต้เท้าเหอและผู้บัญชาการเซี่ยบอกข้าด้วย เสด็จแม่กำลังเสียใจต่อการจากไปของอดีตฮ่องเต้ไม่น้อย ยามนี้ยังต้องมาเจอเรื่องน่าตกใจเช่นนี้ หากเกิดอะไรขึ้น…ข้าเองก็ไม่รู้จะบอกกับซื่อจื่อ เยี่ยนอ๋อง และฉีอ๋องอย่างไร”
ใบหน้าของทั้งสองอ้างว้าง เหอเหวินลี่ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ก็ได้ยินเสียงผู้บัญชาการเซี่ยเอ่ย “จวิ้นจู่วางใจเถิด ข้าจะรีบจับตัวคนร้ายและให้คำตอบแก่จวิ้นจู่และองค์หญิงให้ได้โดยเร็วที่สุดขอรับ”
โง่เง่า เหอเหวินลี่กวาดตามองร่างใหญ่ด้านข้างอย่างไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าคนร้ายอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าโง่นี่ก็ยังรีบโดดลงไปในกับดักนั่นอีก ขุนพลนี่ช่างโง่เสียจริง
“ไต้เท้าเหอ” หนานกงมั่วหัวเราะมองไปยังเหอเหวินลี่
เหอเหวินลี่ใบหน้าขมขื่น ยกมือขึ้นประสาน “ข้าจะทำให้เต็มที่ขอรับ”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “ข้าเชื่อความสามารถของไต้เท้าเหอและผู้บัญชาการเซี่ย เช่นนี้ข้าจะรอข่าวดีจากท่านทั้งสอง”
“ขอรับ ข้าขอตัวลาแล้ว”
มองหนานกงมั่วหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน เหอเหวินลี่ส่งสัญญาณให้คนยกเอาศพพวกนี้ไปพลางขมวดคิ้ว จากนั้นทั้งสองจึงหมุนตัวเดินออกจากจวนไป แม้ข้าราชการพลเรือนกับขุนพลจะไม่ถูกตากัน ทั้งกองปัญจทิศคุ้มกันเมืองและผู้ว่าการอิ้งเทียนต่างก็ดูแลความสงบในเมืองหลวง มีหน้าที่รับผิดชอบที่ทับซ้อนกันในเมืองหลวงค่อนข้างมาก ดังนั้นทั้งสองจึงนับว่าเป็นคนคุ้นเคย
“ไต้เท้าเหอ คดีนี้ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร” ผู้บัญชาการเซี่ยถามออกมาตรงๆ
เหอเหวินลี่ถอนหายใจ ยกมือตบไหล่เขาเบาๆ “เราคงเจอปัญหาใหญ่แล้ว”
“อย่างไรหรือ” ผู้บัญชาการเซี่ยขมวดคิ้ว “องค์หญิงฉังผิงใช่ว่าจะเป็นคนไม่มีเหตุผล ไม่น่าจะเอาความโกรธมาลงที่เจ้ากับข้า หรือว่า…ไต้เท้าเหอรู้ว่าคนร้ายคือใครแล้วอย่างนั้นหรือ” เหอเหวินลี่ส่ายหน้า เอ่ย “แม้ข้าไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใครกันแน่ แต่ฐานะของคนร้ายนั้นไม่ใช่ง่ายๆ แน่ อีกทั้ง…ใครมาหาเรื่องเราก่อน แปดส่วนแน่นอนว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนร้าย”
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ผู้บัญชาการเซี่ยเองก็ไม่กล้าถามมาก ความสัมพันธ์ของเขากับเหอเหวินลี่ไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร ทำได้เพียงเอ่ย “นักฆ่าพวกนี้ก็อวดดีนัก เห็นชัดว่าไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา ข้าจะกลับแล้ว กลับไปหาผู้ที่ทำงานร่วมกองเพื่อจัดระเบียบเมืองหลวงใหม่” กองปัญจทิศคุ้มกันเมืองมีผู้บัญชาการทั้งหมดห้าคน หน้าที่ ตำแหน่ง อำนาจเหมือนกัน
เหอเหวินลี่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แล้วแต่เขาจะไป ทั้งสองกำลังจะแยกกัน เห็นทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไปที่จวนเยี่ยนอ๋องอย่างรวดเร็ว เหอเหวินลี่เลิกคิ้ว “คนจากวังหลวงหรือ” เวลานี้คนจากวังหลวงมายังจวนเยี่ยนอ๋องทำไมกัน หรือมาปลอบโยนองค์หญิงฉังผิงและซิงเฉิงจวิ้นจู่อย่างนั้นหรือ