ตอนที่ 471 พบกับฉินซีอีกครั้ง
“ท่านผู้บัญชาการเซี่ยและไต้เท้าเหอใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ กงกง[1]ผู้นี้คือ”
เสียงแหลมของขันทีผู้นั้นเอ่ยตอบ “ฝ่าบาทมีพระบัญชา เรียกท่านทั้งสองเข้าเฝ้าตอนนี้ขอรับ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับบัญชา” แม้จะแปลกใจ ทว่าทั้งสองยังคงเอ่ยตอบรับอย่างพร้อมเพรียง เพียงแต่ในมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น ใบหน้าที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาของไต้เท้าเหอนั้นได้บิดเบี้ยวขึ้นมา หากต้องอธิบาย ใบหน้าบิดเบี้ยวนั้นก็คงจะออกมาเป็นคำสองคำ…ซวย แล้ว
ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ข้ากับท่านมีความแค้นอันใดกันไยท่านจึงวางกับดักข้าเช่นนี้เล่า
“จวิ้นจู่ ฝ่าบาทเรียกตัวผู้บัญชาการเซี่ยและไต้เท้าเหอเข้าวังแล้วขอรับ” ในจวนเยี่ยนอ๋องพ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามาในห้องหนังสือเอ่ยรายงานเสียงเบา
หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ เพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”
พ่อบ้านเองรู้ดี ซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นี้เป็นคนที่มีแผนการอยู่ในใจ หากบอกว่าจวนเยี่ยนอ๋องในยามนี้องค์หญิงฉังผิงคือคนที่มีตำแหน่งสูงส่งที่สุด แต่ความเป็นจริงเรื่องทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่เป็นคนตัดสินใจ เอ่ยตอบรับ พ่อบ้านจึงถอยออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม
จิ้นจั๋วนั่งอยู่อีกฝั่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน เท้าศีรษะมองหนานกงมั่วที่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำบัญชี เอ่ย “ดูเหมือนจวิ้นจู่จะไม่มีความกังวลเลยสักนิด” หนานกงมั่วยิ้มเย็น เงยหน้าขึ้นมามองจิ้นจั๋ว เอ่ยเสียงเรียบ “คนโง่คนหนึ่ง มีอันใดน่ากังวล” คนอื่นทำเรื่องเช่นนี้ไม่มีใครรู้ เซียวเชียนเยี่ยกลับรีบเรียกตัวเหอเหวินลี่ทั้งสองคนเข้าเฝ้าแทบรอไม่ไหว จะพูดสิ่งใดไม่บอกก็รู้ได้ เหอเหวินลี่มาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้แน่นอนว่าไม่ใช่คนโง่ จะเดาไม่ออกถึงความเกี่ยวข้องกันเลยหรือ
จิ้นจั๋วเอ่ยเตือนนางเสียงเรียบ “คนโง่นั่นกำลังจะขึ้นเป็นฮ่องเต้”
หนานกงมั่วถอนหายใจออกมา โยนบัญชีในมือไปอีกฝั่ง เอ่ย “ก็ใช่น่ะสิ กำลังจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ อาณาจักรเซี่ยมีกษัตริย์แบบนี้ช่าง…” ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้จะเสียใจภายหลังหรือไม่
อาณาจักรเซี่ยก่อตั้งประเทศมาไม่ถึงสามสิบปี เดิมยังไม่ทันมั่นคงนัก เวลานี้ต้องการกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดต่อให้ไม่กล้าหาญแข็งแกร่งเท่าฮ่องเต้องค์ก่อนก็ตาม ทว่าเซียวเชียนเยี่ยไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เหมาะสมสักทาง
“เคยได้ยินมาว่าหวงจั่งซุนสุขุมฉลาดเฉลียว มีความสามารถโดดเด่นด้านกวี ไม่คิดว่า…ซิงเฉิงจวิ้นจู่จะดูถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้” ไม่พูดไม่ได้เลยว่าเปลือกนอกของเซียวเชียนเยี่ยหลอกคนได้ดีทีเดียว แน่นอนจิ้นจั๋วเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นั่นเป็นเพราะ ‘ความหลงใหล’ ที่มีต่อจูชูอวี้
หนานกงมั่วเอ่ย “ซ่งฮุยจง[2] หลี่โฮ่วจู่[3] นับว่าเป็นคนมีความสามารถด้านกวีหรือไม่” มีความสามารถด้านกวีกับความเหมาะสมของการเป็นฮ่องเต้นั้นคนละเรื่องกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในอดีตมีฮ่องเต้ล้มประเทศที่มีความสามารถด้านกวีที่เก่งกว่าเซียวเชียนเยี่ยมถมเถ อย่างเซียวเชียนเยี่ยนั้นเรียกว่าเทียบบนไม่เท่า เทียบล่างมีเหลือ
จิ้นจั๋วยักไหล่ ไม่เอ่ยสิ่งใด หนานกงมั่วเลิกคิ้วสวยมองจิ้นจั๋วด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “หัวหน้าจิ้นว่างเพียงนี้ อยากเจอซั่นจยาเซี่ยนจู่หรือไม่”
จิ้นจั๋วเหลือบตามองนางด้วยสายตาเยือกเย็น ไม่พอใจกับการทาเกลือบนบาดแผลสดของตน หนานกงมั่ววางพู่กันในมือของตนไว้อีกฝั่ง ลุกขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ว่างไม่มีสิ่งใดทำ ออกไปเดินเล่นดีหรือไม่” จิ้นจั๋วเอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่กลัวตายจริงๆ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าพูดราวกับทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ทุกๆ ที่ล้วนเต็มไปด้วยมือสังหาร ข้ารับรองได้ว่าเซียวเชียนเยี่ยจะไม่ส่งคนมาลอบสังหารข้าอีกแล้ว” จิ้นจั๋วครุ่นคิด เอ่ย “เซียวเชียนเยี่ยไม่ส่งคนมาไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มานี่”
หนานกงมั่วลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก ถอนหายใจออกมา “ไม่รู้ว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่นั้นคิดเยี่ยงไร เขาส่งคนมายังจวนเยี่ยนอ๋องแล้วตัดหัวข้าไปเลยไม่ดีกว่าส่งคนมาลอบสังหารมิใช่หรือ”
“ตัดหัวเจ้า เช่นนั้นเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อราชสำนักหรืออย่างไร”
หนานกงมั่วหันกลับมามองเขา “มีประโยคหนึ่ง เรียกว่าฮ่องเต้ต้องการให้ขุนนางตายขุนนางไม่ตายไม่ได้ ดูว่าเขามีความกล้านี้หรือไม่ หากเป็นอดีตฮ่องเต้ พระองค์มีรับสั่งประหารข้า ข้าเดาว่าจะมีขุนนางสักกี่คนที่กล้าถามเอาคำอธิบายจากอดีตฮ่องเต้”
เห็นชัดว่าเซียวเชียนเยี่ยไม่มีความกล้านั้น
ออกมาจากจวนเยี่ยนอ๋อง จิ้นจั๋วใบหน้าเครียดตึงเดินอยู่ด้านข้างหนานกงมั่ว ใช่ว่าเมื่อก่อนเขาจะไม่เคยมาเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ทุกครั้งล้วนแล้วแต่ลอบมาและกลับเงียบๆ ไม่เคยเปิดเผยใบหน้าในเมืองจินหลิงมาก่อน เขาเองเคยคิดว่าอยากเดินกับจูชูอวี้ในจินหลิงได้อย่างเปิดเผย ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว แต่กลับไม่เคยคิดว่ายามนี้จะต้องมาเดินไปกับหนานกงมั่วอย่างเปิดเผยในเมืองหลวงแห่งนี้
เห็นว่าทิศทางที่หนานกงมั่วไปนั่นไม่ใช่จวนเกาอี้ปั๋ว จิ้นจั๋วลอบถอนหายใจอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็เผยความรู้สึกโกรธออกมา
“เจ้าหลอกข้า”
หนานกงมั่วยิ้มจนตาหยีมองเขา เอ่ย “ข้าไม่ได้บอกนี่ว่าข้าจะไปจวนเกาอี้ปั๋ว คุณหนูฉินสี่เชิญข้าไปดื่มชา แต่ได้ยินมาว่าช่วงนี้ซั่นจยาเซี่ยนจู่เองก็เข้านอกออกในจวนต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ไม่แน่อาจเจอกันก็ได้” จิ้นจั๋วปั้นหน้านิ่ง ตัดสินใจไม่คุยกับสตรีที่เขาเกลียดผู้นี้เป็นแน่
หนานกงมั่วเลิกคิ้วเหลือบมองจิ้นจั๋วไม่แกล้งเขาอีก สาวเท้ามุ่งตรงไปยังจวนตระกูลฉิน
คนที่ออกมาต้อนรับหนานกงมั่วกลับไมใช่ฉินซีแต่เป็นคุณชายใหญ่ฉิน ฉินจื่อซวี่ มองเห็นฉินจื่อซวี่ผู้สง่างามมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู หนานกงมั่วจึงเลิกคิ้วขึ้น เอ่ย “คุณชายใหญ่ฉิน สบายดีหรือไม่” ฉินจื่อซวี่ยกมือขึ้นประสาน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลำบากจวิ้นจู่ต้องห่วงใย ข้าสบายดี จวิ้นจู่กลับจากหลิงโจวยังไม่ทันได้พบหน้า เดินทางลำบากแล้ว”
หนานกงมั่วมองสำรวจฉินจื่อซื่อไปหนึ่งรอบ ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่ฉินช่วงนี้จะไม่เลวเลย ทั่วทั้งตัวราวกับมีสง่าราศีมากขึ้น ทว่าไม่ยากที่จะเข้าใจ อดีตฮ่องเต้สวรรคตหากบอกว่าใครดีใจที่สุด นอกจากเซียวฉุนแล้วเกรงว่าคงเป็นตระกูลขุนนางตระกูลนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหวงจื่อหวงซุนองค์ใดขึ้นครองราชย์ อย่างน้อยสำหรับตระกูลขุนนางตระกูลนี้นับเป็นการพักผ่อน และเซียวเชียนเยี่ยขึ้นครองราชย์ยิ่งนับเป็นประโยชน์แก่พวกเขา นิสัยเช่นเซียวเชียนเยี่ยอยากงัดข้อกับตระกูลขุนนางที่ร่วมมือกันเหล่านี้ ไม่ใช้เวลายี่สิบสามสิบปีอย่าคิดว่าจะสำเร็จ เซียวเชียนเยี่ยยังต้องกุมอำนาจทั้งหมดด้วยตัวของเขาเองด้วย หากเซียวเชียนเยี่ยเอาแต่ต่อสู้กันกับเซียวฉุน ทั้งสองคนก็คงได้แต่ทะเลาะกัน อย่างอื่นอย่าได้คิดเลยจะดีกว่า อย่างน้อย…ตระกูลขุนนางก็ไม่ใช่ศัตรูอันดับหนึ่งของพวกเขา ตอนนี้ศัตรูของเซียวฉุนและเซียวเชียนเยี่ยเกรงว่าจะเป็นผู้ปกครองเมืองและตัวพวกเขาเอง
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “ช่วงนี้ร่างกายของซีเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
ฉินจื่อซวี่พยักหน้า “คงต้องขอบคุณจวิ้นจู่ ช่วงนี้ร่างกายของซีเอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้ว”
หนานกงมั่วเอ่ย “ข้ามียามาให้ซีเอ๋อร์ เป็นยาที่ศิษย์พี่ข้าปรุงเอาไว้ ให้ซีเอ๋อร์เอาไปลองดูก่อน” ฉินจื่อซวี่ใบหน้าเผยความตื่นเต้นออกมา ประสานมือเอ่ย “ขอบคุณจวิ้นจู่ ท่านนี้คือ…” หนานกงมั่วมองจิ้นจั๋วด้วยรอยยิ้ม “ผู้นี้คือเพื่อนของข้า จิ้นจั๋ว”
ฉินจื่อซวี่เองดูออกว่าจิ้นจั๋วไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายจิ้น ยินดีที่ได้พบ” จิ้นจั๋วพยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าเรียบนิ่ง เอ่ย “ยินดีที่ได้พบ”
ฉินจื่อซวี่เองไม่ใส่ใจความเย็นชาของจิ้นจั๋ว เชิญทั้งสองเข้ามาด้านใน “ทั้งสองท่านเชิญเข้ามาด้านในเถิด”
เข้ามาในจวนตระกูลฉิน จิ้นจั๋วเดินตามหนานกงมั่วและฉินจื่อซวี่เข้าไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ฟังทั้งสองพูดคุยโต้ตอบกันไปมา จวนหลังใหญ่เช่นนี้ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ตลอดทางที่เดินเข้าไปมีบ่าวรับใช้ทำความเคารพตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงซีอวี้เซวียนที่อยู่ของฉินซีแล้ว สาวใช้ประคองฉินซีเดินออกมาในทันที “มั่วเอ๋อร์”
[1] กงกง คำเรียกขันที
[2] ซ่งฮุยจง ฮ่องเต้ในราชวงศ์ซ่ง เป็นฮ่องเต้ที่อ่อนแอแต่ใส่ใจด้านศิลปะ
[3] หลี่โฮ่วจู่ ฮ่องเต้ในราชวงศ์ถังยุคหลัง เป็นฮ่องเต้ที่อ่อนแอ แต่มีความสามารถด้านกวี ได้รับยกย่องให้เป็นกวีผู้ยิ่งใหญ่