ตอนที่ 488 พระราชพิธีราชาภิเษก (2)
หลังจากพูดคุยกับไทเฮาอยู่ชั่วครู่ ไทเฮาก็ปล่อยให้เหล่าเด็กสาวออกไปเดินเล่นกัน ยามนี้เซียวเชียนเยี่ยกำลังเตรียมตัวสำหรับพิธีราชาภิเษก และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพระญาติฝ่ายหญิงจะทะเลาะกันในวังหลวง แม้ว่าหนานกงมั่วจะแต่งงานแล้ว ทว่าในสายตาของคนรุ่นก่อน นางยังคงเป็นเด็กอายุสิบหกสิบเจ็ด จึงให้นางออกไปเดินเล่นด้วยเช่นกัน หนานกงมั่วรู้ดีว่าไทเฮาต้องการพูดคุยส่วนตัวกับต้าจั่งกงจู่ทั้งสอง นางจึงทูลลาออกมาตามพระประสงค์
วังฝ่ายในมิใช่สถานที่ที่น่าสนุก หนานกงมั่วยืนสงบนิ่งอยู่ในอุทยานอวี้ฮวา นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วจึงถอนหายใจ เรื่องการสวรรคตของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น หากบอกว่าไม่รู้สึกผิดก็คงจะไม่จริง หากตอนนั้นนางตั้งใจจะช่วยฮ่องเต้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ทว่านางกลับปล่อยให้เซียวฉุนปลงพระชนม์ฮ่องเต้แล้วหนีไป เพราะนางรู้ว่าด้วยนิสัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน หลังจากที่รู้ความลับของเว่ยจวินมั่วแล้วย่อมไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่ แม้ว่าจะเป็นหลานชายของเขาเองก็ตาม แม้แต่เซียวฉุนและเซียวเชียนเยี่ยเองก็คงไม่ยอมปล่อยเว่ยจวินมั่วไว้เช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยยังไม่รู้และเซียวฉุนยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้เท่านั้น ชาติบ้านเมืองยังไม่ใช่ของเขา แน่นอนว่าเขายังไม่ต้องรีบร้อน หากมองในฐานะฮ่องเต้แล้ว หนานกงมั่วรู้สึกว่าฮ่องเต้ผู้ล่วงลับเป็นฮ่องเต้ที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าเขาจะใจร้ายและโหดเหี้ยมกับขุนนาง แต่ดีต่อราษฎรอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีความดีความชอบที่ได้ขับไล่เป่ยหยวนและก่อตั้งอาณาจักรเซี่ยขึ้น ทว่า…นี่ไม่เพียงพอที่จะให้เว่ยจวินมั่วไปประสบอันตรายเลยแม้แต่น้อย
ยกมือขึ้นลูบแขนไปมาเพราะรู้สึกหนาว แม้แต่อุณหภูมิในวังหลวงก็ยังเย็นกว่าที่อื่นอยู่เล็กน้อย
“สวมเสื้อผ้าบางเช่นนี้จะไม่หนาวได้เยี่ยงไรเล่า” เสียงของเซี่ยเพ่ยหวนแว่วมาจากด้านหลัง หนานกงมั่วหันกลับมา เห็นเซี่ยเพ่ยหวนในชุดคลุมลายดอกหลานฮวา[1]สีฟ้าอ่อนกำลังเดินเข้ามาหาตนเอง หนานกงมั่วหันมายิ้มให้ เลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “ดูดีทีเดียว” เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มบาง จับมือหนานกงมั่วแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณนะ มั่วเอ๋อร์”
หนานกงมั่วเข้าใจความหมาย เอ่ยตอบเสียงเบา “เป็นเพียงประโยคหนึ่งเท่านั้น”
เซี่ยเพ่ยหวนส่ายหัวแล้วจึงเอ่ยว่า “หากมิใช่เพราะเจ้าพูดกับกุ้ยเฟย แล้วใครจะคิดถึงเรื่องนี้เล่า” ต่อให้มีคนนึกถึงแต่ก็คงไม่กล้าพูด แม้ว่ายามนี้ไม่สามารถจัดงานแต่งงานได้เนื่องจากอยู่ในช่วงพระราชพิธีศพฮ่องเต้ แต่อย่างน้อยที่จวนตระกูลเซี่ยก็เริ่มเตรียมการกันบ้างแล้ว สำหรับเซี่ยเพ่ยหวนเอง นางก็ไม่รีบร้อนแต่งงาน แต่อย่างน้อยนางก็รู้แล้วว่านางเป็นอิสระ รวมถึงชีวิตในอนาคตของนางจะไม่สูญเปล่า หนานกงมั่วถอนหายใจเมื่อนึกถึงหลินกุ้ยเฟยที่จากไปอย่างง่ายดาย
มองดูเสื้อผ้าบนร่างกายหนานกงมั่วแล้ว เซี่ยเพ่ยหวนก็ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเพื่อถอดเสื้อคลุมจากตัวให้นาง หนานกงมั่วรีบยกมือห้ามนางไว้แล้วยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่หนาวหรอก อย่าให้ตัวเองต้องแข็งตายเลย”
เซี่ยเพ่ยหวนกล่าวว่า “ข้าทนหนาวแทนเจ้าได้” ทุกคนต่างสวมชุดผ้าฝ้ายหนาและเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก มีแต่หนานกงมั่วที่ยังคงสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายซึ่งแม้ดูสง่างาม แต่ทว่า…เหน็บหนาวยิ่งนัก…
หนานกงมั่วไม่ได้คิดที่จะทำตัวนอกรีต คนที่ฝึกวิทยายุทธโดยเฉพาะพวกมือสังหารมีข้อกำหนดเข้มงวดอย่างยิ่งกับร่างกายของตนเอง ยอดฝีมือกำลังภายในส่วนใหญ่ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าหนาเกินไป เพื่อให้สามารถใช้กำลังภายในได้โดยไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหว เช่นเดียวกับเว่ยจวินมั่ว ลิ่นฉังเฟิง จิ้นจั๋ว เป็นเรื่องยากหากจะจินตนาการว่าพวกเขาจะห่อตัวเองแน่นหนาเช่นนั้น
หนานกงมั่วยิ้ม เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเซี่ยเพ่ยหวน เลิกคิ้วขึ้นแล้วจึงเอ่ย “ใครกันแน่ที่หนาว”
เซี่ยเพ่ยหวนพูดไม่ออก ยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง “ก็ได้ ข้าหนาว” ฝ่ามือของนางนั้นอุ่นกว่าตนจริงๆ หากเทียบกันแล้ว นางต้องเป็นห่วงใยตนมากกว่า
“อย่างไรก็ต้องขอบคุณเจ้า โชคดีที่เจ้ามาที่นี่ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงจะน่าเบื่อมาก” หนานกงมั่วยิ้ม เซี่ยเพ่ยหวนเหลือบมองนางแล้วเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มีคนในเมืองจินหลิงอิจฉาริษยาเจ้ามากเพียงใด”
“ทำไมเล่า” หนานกงมั่วแปลกใจ ช่วงนี้นางงานยุ่งมากจนแทบหมดแรง
เซี่ยเพ่ยหวนถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้ามีแม่สามีที่ดี ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่งงาน ใครไม่รู้บ้างว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่มีความรักใคร่ลึกซึ้งกับเว่ยซื่อจื่อแล้วยังสนิทสนมกับองค์หญิงฉังผิงดั่งเช่นมารดาและบุตรี” สตรีชั้นสูงส่วนใหญ่ในจินหลิงได้รับการปรนนิบัติและไร้ซึ่งความกังวลเมื่ออยู่ในเรือนตนเอง แม่สามีนั้นเป็นเหมือนการทดสอบครั้งแรกในชีวิตของพวกนาง และการทดสอบนี้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ผ่านไปง่ายๆ ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงรอเวลาหลายปีกระทั่งลูกสะใภ้เหล่านี้ได้กลายเป็นแม่สามี จากนั้นจึงไปทดสอบลูกสะใภ้ตัวเองอีกทอด แล้วก็ดำเนินต่อไปเช่นนี้ เช่นเดียวกับในตำหนักของไทเฮาเมื่อครู่ หญิงคู่หมั้นหมายส่วนใหญ่ล้วนนั่งกับมารดาของตัวเอง ในขณะที่ลูกสะใภ้ต้องยืนข้างหลังแม่สามีเพื่อปรนนิบัติรับใช้
หนานกงมั่วยักไหล่และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพียงโชคดี”
“น่าหมั่นไส้จริงๆ” เซี่ยเพ่ยหวนพูดไม่ออก
อย่างที่เซี่ยเพ่ยหวนกล่าว แม้ว่าไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหนานกงมั่ว ทว่าก็ยังได้ยินถ้อยคำหยาบคายอยู่ไม่น้อย หนานกงมั่วไม่นึกสนใจแต่อย่างใด นางใช้ชีวิตของนางเอง ปล่อยให้คนอื่นพูดไปเถิด
“เจ้าไม่ถือสาจริงหรือ” เซี่ยเพ่ยหวนแหย่หนานกงมั่วที่กำลังดื่มชาอย่างใจเย็น
หนานกงมั่วมองนาง ยิ้มพลางเอ่ย “ถือสาอันใด พวกเขานินทาข้าแสดงให้เห็นว่าข้าสุขสบายกว่าพวกเขา หากข้าใช้ชีวิตน่าสังเวช ตอนนี้พวกเขาคงมาปลอบข้าแล้ว”
“พี่สาว” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้น ในโลกนี้มีไม่กี่คนหรอกที่จะเรียกนางว่าพี่สาว เมื่อหันกลับไปก็เห็นหนานกงซูกำลังยืนมองดูพวกนางอยู่นอกศาลา หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “ร่างกายยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ” ตั้งแต่เจอหนานกงซูครั้งก่อนก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หนานกงซูดูซีดเซียวและผอมลงกว่าในตอนนั้น อาภรณ์สำหรับนางสนมฮ่องเต้อันหรูหราบนร่างกายกลับยิ่งทำให้นางดูซีดเซียวมากขึ้น ดูไม่เหมือนสาวงามเลื่องชื่อแห่งจินหลิงในตอนนั้นเอาเสียเลย
หนานกงซูขยับมุมปาก ฝืนยิ้มพลางเอ่ย “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเจ้าค่ะ ไม่ได้เจอพี่สาวนานแล้ว ยังคงสบายดีนะเจ้าคะ”
เซี่ยเพ่ยหวนรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องนั้นไม่ดีนัก ดังนั้นนางจึงยืนขึ้นแล้วเอ่ย “ถวายพระพรพระสนม” หากไม่ได้คิดจะกล่าวลา หนานกงซูก็มิได้สนใจ เดินเข้าไปในศาลาและโบกมือให้นางกำนัลที่ติดตามมาออกไปก่อน เอ่ยถาม “พี่สาว จวนฉู่กั๋วกง…” หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “เจ้าควรจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับท่านพ่อไม่ดี” นางไม่ได้มีความแค้นอันใดต่อหนานกงซู เจิ้งซื่อก็จากไปแล้ว เรื่องที่หนานกงซูทำให้นางขุ่นเคือง นางก็แก้แค้นไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องเคียดแค้น แต่อย่าพูดถึงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องกันเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว
หนานกงซูส่ายหัวแล้วจึงเอ่ย “ไม่ใช่ ข้าอยากจะถามว่า…เฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูก…”
หนานกงมั่วมองไปที่นางแล้วเอ่ยเบาๆ “เจ้ายังไม่ปล่อยเฉียวเย่ว์อู่ไปอีกหรือ”
“นางฆ่าลูกข้า!” หนานกงซูกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำ ดวงตาที่เคยสดใสของนางกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันมืดมน
หนานกงมั่วถอนหายใจแล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้าควรเข้าใจก่อนว่า ตอนนี้เจ้าต้องการแรงสนับสนุนจากท่านพ่อ” หนานกงซูอยู่ในวังหลวงเพียงลำพัง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหนานกงไหวคงจะขยับตัวทำอันใดได้ยาก หนานกงมั่วก็พอจะรู้ว่าเหตุใดร่างกายของนางถึงยังไม่หายดี ไม่ว่าจะเป็นในตำหนักหรือฝ่ายในก็ล้วนแต่มิใช่สถานที่ที่น่าอยู่นัก
———————————————–
[1] หลานฮวา กล้วยไม้