ตอนที่ 485 เจ้าเด็กกวนประสาท (2)
“ยิ่งไปกว่านั้น พี่หญิงรองก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทอยู่ในครรภ์แล้ว เพื่อลูกในครรภ์ของพี่หญิงรองแล้ว อย่างไรเสียตระกูลจูของเราก็ยังอยู่ข้างฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่คิดว่าสมเหตุสมผลหรือเพคะ” จูชูอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เซียวเชียนเยี่ยนึกถึงชายารองจูที่ตั้งท้องมาหลายเดือน นึกเชื่อคำพูดของจูชูอวี้มากขึ้นเล็กน้อย ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเชื่อมสายสัมพันธ์กับตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ได้มากไปกว่าการมีโอรสองค์น้อยแล้ว เช่นเดียวกับจวนเอ้อกั๋วกง เพราะเห็นแก่ประโยชน์ของบุตร เอ้อกั๋วกงหยวนชุนจึงอยู่ข้างเขาอย่างไม่ลังเล ส่วนหนานกงซูที่เสียบุตรไป ทำให้ท่าทีของหนานกงไหวคลุมเครือยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่หนานกงซูในสถานการณ์ปัจจุบันคงจะไม่สามารถมีลูกได้ง่ายๆ หากได้รับการสนับสนุนจากหนานกงไหวและหยวนชุน เขาคงมีความมั่นใจมากขึ้นอีกหน่อย
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จูชูอวี้ก็เลิกพูดโน้มน้าวเขา เรื่องบางเรื่องหากพูดมากเกินไปก็กลับกลายเป็นผลเสีย เซียวเชียนเยี่ยเป็นคนที่ชอบคิดมาก ที่เหลือก็ปล่อยให้เขาคิดเองไปเถิด เชื่อว่าเขาคงจะคิดออกเอง
“ฝ่าบาทยังมิได้เอ่ยบอกเลย ไยเมื่อครู่นี้พระองค์จึงกังวลใจเล่า” จูชูอวี้ถามอย่างแผ่วเบา
เซียวเชียนเยี่ยเหลือบมองนาง ถึงมิใช่เรื่องสำคัญอันใดแต่ก็เอ่ยถามออกไป “ระยะนี้ เจ้าได้ยินข่าวเรื่องผู้สืบทอดอ๋องเหล่านั้นบ้างหรือไม่”
จูชูอวี้เอียงหัวคิดไปคิดมา เอ่ยตอบไปว่า “ฝ่าบาทต้องการถามถึงเรื่องคุณชายในอ๋องที่ก่อเรื่องในจินหลิงหรือเพคะ”
“เจ้าก็ได้ข่าวเรื่องนี้เช่นเดียวกันสินะ” เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้ว จูชูอวี้ยิ้มและกล่าวว่า “ใครบ้างเล่าที่จะไม่รู้ ฝ่าบาทคงยังมิรู้ใช่หรือไม่ว่าเมื่อเช้าซิงเฉิงจวิ้นจู่เพิ่งสั่งสอนคุณชายสามจวนเยี่ยนอ๋องไปเพคะ”
“เช่นนั้นหรือ” เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้ว หากจะบอกว่าเขากลัวใครมากที่สุดในโลกนี้ นอกจากศัตรูคนปัจจุบันอย่างเซียวฉุนแล้ว ก็คงจะเป็นเยี่ยนหวังเซียวโยวนี่แหละ แต่ต่างไปจากที่ถูกควบคุมจากเซียวฉุนอยู่บ้าง สิ่งที่เซียวเชียนเยี่ยหวั่นเกรงเยี่ยนอ๋องเป็นเพราะความเคารพยำเกรงมาแต่ครั้งในอดีต ทั้งจิตใจและนิสัย รวมไปถึงผลงานการรบของเยี่ยนอ๋อง ล้วนทำให้อดีตหวงจั่งซุนเคารพยำเกรงอย่างมาก เดิมจากที่ทั้งสองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกัน ก็รู้สึกเพียงเคารพและอิจฉาตามประสาคนหนุ่มที่มีต่อผู้อาวุโสเท่านั้น ทว่าเมื่อสถานะเปลี่ยนแปลงไป เขากลายเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักร แน่นอนว่าอำนาจของเยี่ยนอ๋องก็ย่อมกลายเป็นภัยคุกคามต่อเขา
จูชูอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าคุณชายสามเยี่ยนอ๋องได้ม้าชั้นยอดมา อดภูมิใจจนนำม้ามาควบกลางถนนไม่ได้ จนเกือบเหยียบยายหลานคู่หนึ่งแล้ว เผอิญว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่อยู่ที่นั่นพอดี จึงกำราบม้าตัวนั้นลง และแม้แต่คุณชายสามก็โดนจัดการไปด้วย”
เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้วแล้วเอ่ย “นางกล้าหาญไม่น้อย เซียวเชียนจย่งเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาไม่สู้กลับหรือ” เขาเคยได้พบกับเซียวเชียนจย่งมาก่อน แม้ว่าตอนนั้นเซียวเชียนจย่งจะยังอายุไม่ถึงสิบขวบ แต่เขามีนิสัยแย่กว่าพี่ชายทั้งสองของเขามาก
จูชูอวี้เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่ต้องเอาชนะให้ได้ ได้ยินมาว่าคุณชายสามถูกซิงเฉิงจวิ้นจู่จัดการลงไปกองกับพื้นตั้งหลายครั้ง น่าเสียดาย…ไม่มีโอกาสได้เห็น” ขณะที่ปากพูด ภายในใจจูชูอวี้ก็ยังชื่นชมนับถือในความกล้าหาญของหนานกงมั่วเช่นกัน เยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนที่มีอำนาจที่สุดของหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว แต่หนานกงมั่วกลับกำราบคุณชายสามของเยี่ยนอ๋องอย่างไร้ความปรานี
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจเบาๆ “คนเหล่านี้สมควรถูกกำราบแล้ว!” เซียวเชียนเยี่ยจะไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมของคนเหล่านี้ได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ทำไปเพียงเพราะต้องการทดสอบท่าทีในฐานะฮ่องเต้ของเขา ทว่ายามนี้…เขาย่อมไม่ยอมเปิดโอกาสให้ใครหาเรื่องโจมตีได้อย่างแน่นอน
ต้องบอกว่านี่เป็นความเข้าใจผิดที่เลวร้ายทีเดียว หากเซียวเชียนเยี่ยแสดงออกว่าแข็งแกร่งมากพอ เหล่าผู้ปกครองเมืองคงจะไม่อาจหาญเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เคารพจากใจ แต่เซียวเชียนเยี่ยก็ขึ้นครองบัลลังก์ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน แม้ว่าเหล่าผู้ปกครองเมืองจะขึ้นครองบัลลังก์เองไม่ได้ พวกเขาก็ย่อมหวังว่าผู้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์นั้นจะเป็นฮ่องเต้ที่มีความสามารถโดดเด่น น่าเคารพเกรงขาม อย่างไรก็ตาม เซียวเชียนเยี่ยคิดว่าผู้ปกครองเมืองเหล่านี้กำลังพยายามจับผิดตน จึงอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้เลยว่าความอดทนของเขาในสายตาผู้ปกครองเมืองเหล่านี้เป็นเพียงการแสดงออกอย่างขี้ขลาด
จูชูอวี้เม้มปากแล้วยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอันใด เซียวเชียนเยี่ยไม่กล้าจัดการหวงจื่อหวงซุนเหล่านี้ด้วยตนเอง เอาแต่หวังให้คนอื่นลงมือ น่าเสียดายที่ในเมืองจินหลิงคงไม่มีหนานกงมั่วคนที่สองอีกแล้ว
เซียวเชียนจย่งไม่ใช่คู่ต่อกรของหนานกงมั่ว นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนในจวนเยี่ยนอ๋องเชื่อเหมือนกัน เมื่อเห็นคุณชายสามเยี่ยนอ๋องถูกโยนออกไปอีกครั้ง ผู้คนโดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะปิดหน้าไม่ดูฉากอันน่าเศร้านี้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่หนานกงมั่วจะไม่รู้กำลัง อย่างน้อยนางก็ยอมรักษาหน้าตาให้เซียวเชียนจย่งไปเข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้ ฉะนั้นเซียวเชียนจย่งที่ถูกโยนออกไปจึงโชคดีมากที่ไม่ต้องเอาหน้าลงพื้นแต่เป็นบั้นท้ายแทน เขาเจ็บปวดจนแยกเขี้ยวทั้งที่เลือดกลบปาก
“เจ้าสาม หยุดได้แล้ว!” เซียวเชียนเหว่ยเอ่ย
“ไม่!” เซียวเชียนจย่งลุกขึ้นจากพื้น จ้องไปที่หนานกงมั่วแล้วกัดฟันพูด
องค์หญิงฉังผิงขมวดคิ้วยืนอยู่ด้านข้าง กำลังจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าได้ยินหนานกงมั่วเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเสียก่อน “ไม่เป็นไรเพคะเสด็จแม่ ข้าว่างอยู่พอดี ข้าจะช่วยคุณชายสามฝึกฝนเอง” เดินไปยังชั้นวางอาวุธด้านข้างที่มีอาวุธต่างๆ หนานกงมั่วตบที่วางอาวุธให้หอกสีเงินเหินไปหาเซียวเชียนจย่ง เซียวเชียนจย่งรีบเอื้อมมือออกไปรับมาถือไว้
หนานกงมั่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าฝีมือการใช้หอกของคุณชายสามนั้นไม่ธรรมดา ลองดูหน่อยหรือไม่”
เซียวเชียนจย่งส่งเสียงหึเบาๆ หอกยาวในมือราวกับมีแสงวิบวับปรากฏ ปลายหอกชี้ไปหาหนานกงมั่ว ร้องขึ้น “มาสู้กัน”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำหรับเด็กที่ไม่เชื่อฟัง ข้ารู้สึกว่า…ต้องสยบให้ยอมเคารพ คราวนี้ข้าจะไม่ออมมืออีกแล้ว”
“ใครอยากให้เจ้าออมมือเล่า ดูซะ!” เซียวเชียนจย่งคำราม หอกพุ่งทะยานตรงไปยังหนานกงมั่วราวกับพยัคฆ์ร้าย หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มือซ้ายปัดหอกของเซียวเชียนจย่งออกไปเบาๆ หอกยาวเปลี่ยนทิศทางไป เซียวเชียนจย่งตกใจจนมือสั่น จิ้นจั๋วยืนพิงเสาข้างๆ เหลือบมองหนานกงมั่วโดยไม่เอ่ยอันใด ใช้กำลังภายในอันแข็งแกร่งรังแกเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สนุกนักหรือ
เห็นได้ชัดว่าหนานกงมั่วรู้สึกว่าสนุกมาก ร่างเพรียวบางเคลื่อนไหวและหมุนไปรอบๆ ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปราวกับเห็นเพียงร่างที่สวมชุดสีฟ้าล่องลอยไปทั่วทุกที่ แต่เซียวเชียนจย่งยังมิได้แตะแม้เพียงชายเสื้อของหนานกงมั่วเลยด้วยซ้ำ ตัวเองกลับเหนื่อยหอบแล้ว มองดูผู้คนทั้งหลายที่รู้สึกเจ็บปวดแทนเขาไปด้วย
เซียวเชียนจย่งกัดฟัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณชายเช่นเขาจะไม่สามารถแม้แต่เอาชนะผู้หญิงได้! เขาตวัดหอกยาวในมือ เล็งไปที่หัวใจของหนานกงมั่วอีกครั้ง หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหยียบลงไปเบาๆ แล้วเหาะขึ้นไป เกิดประกายแสงบนหอก ชั่วครู่ต่อมาก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เซียวเชียนจย่งก้าวถอยหลังไปเพื่อเตรียมรับมือกับนาง หนานกงมั่วยิ้มหวาน ยกมือขึ้นตวัดฝ่ามือใส่เขาไปเบาๆ ทันใดนั้นเซียวเชียนจย่งก็เหาะหลบไปด้านหลัง หอกยาวในมือของเขาก็ทะยานออกไปเช่นเดียวกัน
“ยังจะสู้ต่อหรือ” หนานกงมั่วล้มลงกับพื้น มองเซียวเชียนจย่งด้วยรอยยิ้มแล้วถาม เซียวเชียนจย่งต้องการลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กายทำให้เขาไม่สามารถทำอันใดได้ ทำได้เพียงจ้องมองหนานกงมั่วสักพักก่อนจะยอมคายคำสามคำออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “ไม่เอาแล้ว”