ตอนที่ 477 ผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋อง (2)
“จวิ้นจู่” เสียงของจูชูอวี้แว่วมาจากด้านหลัง พวกเขาทั้งสองหันกลับไปพร้อมกัน เห็นจูชูอวี้มาพร้อมกับหร่วนอวี้จือที่หน้าบวมช้ำยืนรอพวกเขาอยู่ห่างไปไม่ไกล จิ้นจั๋วเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปยังหร่วนอวี้จือ สายตาที่มองหร่วนอวี้จือแฝงเจตนาร้ายไว้ “ไม่พาใต้เท้าหร่วนผู้นี้ไปหาหมอหรือ หากป่วยตายขึ้นมาอย่ามากล่าวโทษข้าก็แล้วกัน”
หร่วนอวี้จือจ้องมองเขาด้วยความโกรธ เอ่ย “ชายที่ใช้แต่กำลัง ได้พึ่งพิงซิงเฉิงจวิ้นจู่แล้วสมควรที่จะอวดดีเพียงนี้หรือ!” จิ้นจั๋วลูบคางพลางมองไปยังหร่วนอวี้จือพลางเอ่ย “เพียงรับมือกับคนขี้ขลาดอย่างเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องพึ่งใครหรอก” จิ้นจั๋วมิใช่คนที่เคารพกฎหมาย หากคนอย่างหร่วนอวี้จือหาเรื่องเขาขึ้นมาล่ะก็ ฆ่าก็ฆ่าสิ หร่วนอวี้จือโกรธจนสีหน้าบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว
หนานกงมั่วก้าวไปด้านหน้าแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไยซั่นจยาเซี่ยนจู่ถึงยังไม่กลับ” จูชูอวี้ยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ข้ามิได้เจอจวิ้นจู่มาสักพักแล้ว วันนี้บังเอิญพบกันที่จวนตระกูลฉินเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องง่าย จึงอยากจะทักทายเท่านั้น” หนานกงมั่วทำราวกับไม่เห็นสายตาสงสัยของจูชูอวี้ นางยิ้มพลางเอ่ย “ซั่นจยาเซี่ยนจู่ขี้ลืมเสียจริง เราเพิ่งพบกันเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง”
จูชูอวี้ไม่ได้สนใจเช่นกัน มองไปยังจิ้นจั๋วที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหนานกงมั่ว นางถอนหายใจแล้วเอ่ย “ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่จินหลิงอีก” อันที่จริงสิ่งที่นางต้องการถามคือไม่คิดว่าจะได้เจอเขามากับหนานกงมั่วมากกว่า หรือเจ้าเกลียดข้ามากถึงเพียงนั้นจริงๆ อยากจะต่อกรกับข้าหรือ
จิ้นจั๋วขมวดคิ้วเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกสาเหตุที่ติดตามหนานกงมั่วมา หลังจากเห็นจูชูอวี้ในครั้งนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่จำเป็น นึกถึงตอนจูชูอวี้อยู่ในห้องโถงของจวนตระกูลฉิน ขอร้องต่อตระกูลฉินเพื่อพี่สามของนางด้วยความชอบธรรม ราวกับคุณชายจูสามและคุณหนูฉินสี่เกิดมาคู่กันเช่นนั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าคุณหนูตระกูลฉินผู้บอบบางจะมีชีวิตอยู่ได้กี่วันหากได้แต่งกับคนเยี่ยงคุณชายจูสามจริงๆ จูชูอวี้เองก็เป็นผู้หญิง ทว่ากลับวางแผนเช่นนี้กับผู้หญิงด้วยกัน หลังจากที่ฉินฮูหยินปฏิเสธอย่างรุนแรงแล้ว กลับพยายามใช้คุณหนูสองตระกูลจูซึ่งกำลังจะได้ตำแหน่งกุ้ยเฟยมาข่มขู่ หากเป็นตระกูลที่อ่อนแอกว่านี้สักหน่อย เกรงว่าคงจะยอมยกลูกสาวผู้บริสุทธิ์ให้เสียแล้ว เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ มองดูดวงตากระจ่างใสและอ่อนโยนของจูชูอวี้ใต้ผ้าคลุมหน้าแล้ว จิ้นจั๋วก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมา
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้า” จิ้นจั๋วเอ่ยเสียงเข้ม
รอยยิ้มบนใบหน้าของจูชูอวี้ชะงักเล็กน้อย แม้นางจะทิ้งจิ้นจั๋วก่อน ทว่าในฐานะหญิงสาวที่คิดว่าตนเองสวยและเก่งนั้น ถูกผู้ชายซึ่งเคยรักนางแสร้งทำเป็นไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อหน้าผู้หญิงอีกคนที่นางนับว่าเป็นศัตรู ใบหน้าของจูชูอวี้ก็ข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ทว่าอยู่ต่อหน้าหนานกงมั่ว นางจึงไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดกับจิ้นจั๋วได้มากนัก ถึงจูชูอวี้ไม่ต้องการเอ่ยอันใด แต่จิ้นจั๋วกลับอยากเอ่ยบางอย่าง เขามองไปยังหร่วนอวี้จือที่ยืนอยู่ด้านหลังจูชูอวี้อย่างจับผิด เลิกคิ้วพลางเอ่ย “นี่เป็นรสนิยมของเจ้าในช่วงนี้หรือ” จิ้นจั๋วอยากถามว่าชายอ่อนแอผู้นี้มีสิ่งใดดีไปกว่าตน หรือเป็นเพราะเขาอ่านหนังสือมากกว่าตน ทว่าหลังจากคิดดูแล้ว รู้สึกว่าหากถามเช่นนั้นคงน่าเบื่อสิ้นดี สู้ปิดปากไม่เอ่ยสิ่งใดจะดีกว่า
ใบหน้าของจูชูอวี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก แน่นอนว่านางย่อมไม่มีทางชอบคนอย่างหร่วนอวี้จือ ทว่ายามนี้ตระกูลจูต้องการใช้คนอย่างเร่งด่วนและมีคนจำนวนไม่มากที่เต็มใจมาพึ่งพาตระกูลจู ในบรรดาคนเหล่านั้น พรสวรรค์และความสามารถของหร่วนอวี้จือนับว่าดีมากและลูกหลานของตระกูลจูก็ได้รับการชี้แนะจากเขา การสอบชุนเหวย[1]ในอีกสามเดือนข้างหน้า พวกเขาคงจะมั่นใจมากขึ้น เนื่องจากตระกูลจูเป็นคนค้าขาย ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของนักปราญช์ แม้แต่เงินก็แลกก็แลกสายสัมพันธ์กับนักปราชญ์ไม่ได้ นอกจากนี้ตระกูลจูมิได้เข้มงวดต่อลูกหลานที่ชอบก่อปัญหา แม้แต่ครูอาจารย์ที่เชิญมาสอนเป็นครั้งคราวต่างก็โมโหจนต้องลาออกไป ไม่มาสอนอีก สำหรับสำนักศึกษาของตระกูลเซี่ย ลูกหลานตระกูลจูยิ่งไม่มีปัญญาสอบเข้าได้
หร่วนอวี้จือยอมให้ใครกล่าวหาต่อว่าจูชูอวี้ไม่ได้ จึงรีบก้าวขึ้นมาแล้วเอ่ยตำหนิ “บังอาจนัก เป็นเพียงองครักษ์กลับหยาบคายต่อเซี่ยนจู่!”
จิ้นจั๋วเห็นความเคารพนบนอบต่อจูชูอวี้ในสายตาของหร่วนอวี้จือได้ชัดเจน จึงเบะปากอย่างดูถูก เหลือบมองจูชูอวี้ด้วยสายตาเย้ยหยัน จูชูอวี้ทั้งโกรธทั้งอับอาย ทำได้เพียงมองไปยังหนานกงมั่ว เอ่ย “ดูเหมือนวันนี้จะมิใช่วันดีที่จะคุยกับจวิ้นจู่ ข้าขอตัวลาเจ้าค่ะ”
“ไม่ส่ง” หนานกงมั่วเอ่ยเบาๆ มองดูจูชูอวี้และหร่วนอวี้จือเดินกะโผลกกะเผลกออกไปแล้ว หนานกงมั่วจึงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “สรุปว่าพวกเขามารอที่นี่เพื่ออันใดกัน”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” จิ้นจั๋วตอบอย่างไม่สบอารมณ์
หนานกงมั่วครุ่นคิด ตัดสินใจไม่ยุแหย่คนที่กำลังอารมณ์เสีย เพราะที่จริงเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือ ยักไหล่แล้วจึงเอ่ย “ในเมื่อไม่มีอันใดแล้ว เรากลับกันเถิด”
จิ้นจั๋วพ่นลมหายใจเบาๆ เดินตามหลังหนานกงมั่วกลับไปยังจวนเยี่ยนอ๋อง
แม้ตอนนี้เขาจะไม่สนใจจูชูอวี้แล้ว แต่ก็ยังต้องบอกว่าสตรีอย่างหนานกงมั่วนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง สตรีไม่ควรฉลาดจนเกินไป ไม่รู้จริงๆ ว่าบุรุษเช่นเว่ยจวินมั่วลุ่มหลงหนานกงมั่วไปได้อย่างไร
เสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล เห็นม้าเร็วหลายตัววิ่งสวนทางกับพวกเขา ฝีเท้าม้าก่อฝุ่นตลบอบอวล หนานกงมั่วย่นคิ้วพลางปัดฝุ่นออกจากตัว เอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ไม่ใช่รายงานด่วนจากชายแดน”
ในเมืองหลวงนั้นห้ามขี่ม้าตามท้องถนนโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือสามัญชน ผู้ที่สามารถควบม้าในจินหลิงได้ก็เพื่อส่งรายงานด่วนทางทหารเท่านั้น ผู้ที่ถือธงอาญาสิทธิ
จิ้นจั๋วเลิกคิ้วแล้วจึงเอ่ย “พวกชนชั้นสูงในเมืองจินหลิงนั้นช่างกล้านัก”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เกรงว่าจะมิใช่พวกชนชั้นสูงในจินหลิง สองวันมานี้ เหล่าผู้สืบทอดของผู้ปกครองเมืองแต่ละแห่งควรเดินทางมาถึงแล้ว”
“ผู้สืบทอดของผู้ปกครองเมืองหรือ ยามที่เซียวเชียนเยี่ยยังเป็นจวิ้นอ๋องไม่เห็นจะกล้าทำเช่นนี้” จิ้นจั๋วกล่าว หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “จะเหมือนกันได้อย่างไร เมื่อครั้งเซียวเชียนเยี่ยยังเป็นจวิ้นอ๋องมัวกังวลพี่น้องตัวเองจับผิด ทว่าผู้สืบทอดผู้ปกครองเมืองเหล่านี้นั้นไม่ ต้องเอ่ยว่าคนเหล่านี้มีสักกี่คนที่เห็นเซียวเชียนเยี่ยฮ่องเต้พระองค์ใหม่อยู่ในสายตา นับว่าเป็นบททดสอบแล้ว หากเซียวเชียนเยี่ยกำราบคนเหล่านี้ได้ก็ไม่มีอันใด แต่หากกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็จะเจอปัญหาอีกมากในภายภาคหน้า” หากผู้ปกครองเมืองที่คุมกำลังทหารเหล่านั้นรู้สึกว่าเซียวเชียนเยี่ยอ่อนแอล่ะก็ อนาคตเซียวเชียนเยี่ยจะลำบากมาก “แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา กลับกันเถิด”
เมื่อพวกเขากลับไปถึงจวนเยี่ยนอ๋องถึงได้รู้ว่า ไม่ใช่เฉพาะคนที่พวกเขาเพิ่งเห็นระหว่างทางที่มาถึงเมืองหลวงแล้ว ผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องและคุณชายทั้งสองต่างก็มาถึงแล้วเช่นกัน ส่วนผู้สืบทอดฉีอ๋องคงจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันเพราะหนทางไกลและทุรกันดาร องค์หญิงฉังผิงที่สนทนากับหลานชายทั้งสามอยู่เห็นหนานกงมั่วกลับมาแล้วจึงรีบจูงนางมานั่งข้างกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือชายาของจวินเอ๋อร์ พี่สะใภ้ของพวกเจ้า มั่วเอ๋อร์ นี่คือผู้สืบทอดของพี่สาม ชื่อเชียนชื่อ ส่วนสองคนนี้คือ เชียนเหว่ย และเชียนจย่ง”
“คารวะพี่สะใภ้” ผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องลุกขึ้นยืนคำนับแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพี่น้องอีกสองคนเห็นว่าพี่ชายทำเช่นนั้นจึงลุกขึ้นคารวะตามเช่นกัน หนานกงมั่วรู้สึกยินดี เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีที่พบน้องชายทั้งสาม” แม้ทั้งสามจะเป็นเชื้อสายหลักของชินอ๋อง แต่หนานกงมั่วก็เป็นสะใภ้ขององค์หญิงและได้พระราชทานเป็นจวิ้นจู่ คำนวณดูแล้วก็มิได้มีฐานะด้อยกว่าพวกเขา เพียงแต่ทันทีที่พบกัน หนานกงมั่วก็ประเมินความคิดของคนทั้งสามคนที่มีต่อนางคร่าวๆ ได้ เซียวเชียนชื่อยิ้มอย่างอบอุ่น กิริยามารยาทเพียบพร้อม เซียวเชียนเหว่ยแม้จะมีมารยาทเพียบพร้อมเช่นกันแต่หนานกงมั่วก็มองเห็นความไม่พอใจในสายตาของเขาออกทันที ส่วนเซียวเชียนจย่ง เพิ่งมีอายุเพียงสิบสี่ปี มองแค่เพียงใบหน้าก็รับรู้ได้ถึงการดูหมิ่น หากองค์หญิงฉังผิงมิได้นั่งอยู่ที่นี่ด้วย เกรงว่าเขาคงไม่แม้แต่จะชายตามองนางด้วยซ้ำ ในใจหนานกงมั่วรู้สึกขำเล็กน้อย แต่ก็มิได้ใส่ใจมากนัก คนอย่างเซียวเชียนจย่งเปิดเผยทุกอย่างผ่านทางสีหน้านั้นไม่จำเป็นต้องกังวล แต่หากเป็น…
[1] การสอบชุนเหวย เป็นหนึ่งในการสอบเพื่อเข้ารับราชการช่วงฤดูใบไม้ผลิ การสอบชุนเหวยเป็นการสอบในระดับมณฑล จัดขึ้นทุก 3 ปี