ตอนที่ 482 ป่วยก็ทานยา (1)
“ยอมรับผิดเสีย” หนานกงมั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
ในที่สุดความเกรงกลัวต่อบิดาของเซียวเชียนจย่งก็มีชัยเหนือกว่า เขาเอ่ยกับหญิงชราห้วนๆ ว่า “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าจะชดใช้ให้”
หญิงชราหวาดกลัวไม่น้อย ตอนนี้ได้แต่กอดหลานชายไว้แน่น รู้ตัวดีว่าตนเอาผิดอันใดต่อชายหนุ่มตรงหน้ามิได้จึงเอาแต่ส่ายหัวไปมา เซียวเชียนจย่งโยนทองคำแท่งเข้าไปในอ้อมแขนของหญิงชรา จ้องไปที่หนานกงมั่วอย่างไม่สบอารมณ์แล้วจึงเอ่ย “ข้าไปได้แล้วสินะ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว แม้จะไม่พอใจต่อท่าทีของเซียวเชียนจย่งเท่าใดนัก แต่ด้วยฐานะของเขาแล้ว คงไม่สามารถก้มหัวขอโทษอย่างนอบน้อมได้ นางยักไหล่สั่งให้คนพาตัวหญิงชราไปส่ง แล้วเอ่ยถามจิ้นจั๋ว “หัวหน้าจิ้นชอบม้าหรือไม่ ข้ายกม้าตัวนี้ให้เจ้ายืมขี่สักพัก หากคุณชายสามออกจากเมืองหลวงเมื่อใดค่อยเอามาคืนก็พอ”
จิ้นจั๋วลูบคางและมองไปที่ม้าบนพื้นด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นม้าเหงื่อโลหิตชั้นยอด เช่นนั้นก็ขอบใจมาก”
“เดี๋ยวก่อน! ม้าของข้ายังไม่ตายหรือ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวเชียนจย่งก็ตะโกนถามพร้อมดวงตาเบิกกว้าง
หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางยิ้ม “ข้าบอกเมื่อใดว่าม้าตายแล้วหรือ” ม้ามีความผิดอันใด คนที่ควบม้าจนเกือบเหยียบคนเดินเท้านั่นคือเซียวเชียนจย่ง มิใช่ตัวม้าสักหน่อย ต่อให้ต้องจัดการสั่งสอนเซียวเชียนจย่งอีกสักยกก็ยังดีกว่าฆ่าม้าบริสุทธิ์ตัวหนึ่งไป
เซียวเชียนจย่งนึกย้อนกลับไป จริงด้วย เมื่อครู่นี้รีบมากจึงไม่ทันดูให้ดี คิดว่าม้าตายไปเสียแล้ว หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่าถึงแม้ม้าที่นอนอยู่บนพื้นจะไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว แต่ท้องของมันยังยุบและพองขึ้นลงอยู่ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตาย
ตราบใดที่เป็นบุรุษก็ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะไม่โปรดม้าชั้นยอด แม้จะไม่ใช่ของเขาจริงๆ แต่การได้ครอบครองสักเดือนสองเดือนก็นับว่าดีมากแล้ว จิ้นจั๋วก้าวไปข้างหน้า โน้มคอม้าลงมาแล้วดึงเข็มเงินสองสามเล่มที่คอม้าออก อีกทั้งลูบม้าเบาๆ หลังจากนั้นไม่นาน ม้าที่ยังคงหลับอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มันสะบัดหัว หายใจฟืดฟาดแล้วลุกยืนขึ้นช้าๆ จิ้นจั๋วตบที่คอม้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สมเป็นม้าชั้นยอด ขอบใจจวิ้นจู่มาก” ดูเหมือนม้าตัวนั้นจะรู้ว่าใครช่วยชีวิตเอาไว้ มันเอาหัวไปถูที่คอของจิ้นจั๋วอย่างสนิทสนม ดูอ่อนโยนเชื่อฟัง ไร้ซึ่งท่าทางดุร้ายอย่างเมื่อครู่ก่อนแม้แต่น้อย
คราแรกนึกว่าม้าของตนตายไปแล้ว เซียวเชียนจย่งจึงพอระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ได้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าม้ายังไม่ตาย เซียวเชียนจย่งจึงไม่ยอมอีกต่อไป กว่าเขาจะได้ม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้มิใช่เรื่องง่าย จะยอมมอบให้ผู้อื่นง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร
“นี่มันม้าของข้า” เซียวเชียนจย่งกัดฟันเอ่ย
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพื่อไม่ให้คุณชายสามควบม้าตามถนนหนทางในเมืองหลวงอีก ฉะนั้นในระหว่างนี้ม้าตัวนี้จะไม่ใช่ของเจ้า”
“บังอาจ!” เซียวเชียนจย่งจ้องไปที่หนานกงมั่วอย่างโกรธเคือง เอ่ยอย่างกัดฟันว่า “ข้าอุตส่าห์เห็นแก่เสด็จอาจึงยอมไว้หน้าท่านอยู่บ้าง ฉะนั้นอย่าคิดได้คืบจะเอาศอก”
“เจ้าสาม!” ทางด้านหลังไม่ไกลนัก เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนเหว่ยรีบเดินเข้ามา ทันได้ยินคำพูดสุดท้ายของเซียวเชียนจย่งพอดิบพอดี เซียวเชียนชื่อเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าสาม อย่าเสียมารยาทต่อพี่สะใภ้!” เซียวเชียนจย่งกัดฟันเอ่ย “หญิงผู้นี้จะปล้นม้าข้า!”
หนานกงมั่วยิ้มอ่อนแล้วกล่าวว่า “คุณชายสามเข้าใจผิดแล้ว เจ้าไม่สามารถใช้ม้าตัวนี้ได้ในระหว่างอยู่จินหลิงเท่านั้น เมื่อออกจากจินหลิงก็จะส่งกลับคืนให้ดังเดิม”
“ท่านมีสิทธิอันใด” เซียวเชียนจย่งไม่ยอม
เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้ เจ้าสามรักม้ามาก หากเขาทำอันใดเสียมารยาท ขอพี่สะใภ้อย่าได้ถือสา” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้ามิได้ถือสา แต่คุณชายรองถามคนเดินเท้าที่ถูกคุณชายสามทำให้หวาดกลัวเองดีกว่าว่าถือสาหรือไม่ แต่ว่า…คนที่ขี่ม้าตามทางหลักในเมืองจินหลิงในช่วงสองวันที่ผ่านมามิได้มีแต่คุณชายสามคนเดียว คนที่ถูกเหยียบบาดเจ็บถึงขั้นตายก็มี สิ่งที่คุณชายสามทำจึงไม่ผิดอันใดมากหรอก”
เซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนชื่อต่างก็ตกใจ พวกเขาที่บังเอิญอยู่ละแวกนี้พอดีไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่คิดเลยว่าเซียวเชียนจย่งจะกล้าถึงเพียงนี้ เซียวเชียนเหว่ยหน้าตึง มองไปยังเซียวเชียนจย่งอย่างเคร่งขรึม “เจ้าสาม”
เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ายอมรับผิดแล้ว แล้วก็ขอโทษแล้วด้วย ยังต้องการอันใดอีก”
เซียวเชียนเหว่ยถอนหายใจ ยกมือคำนับหนานกงมั่ว “เรื่องวันนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้มาก เอาอย่างที่พี่สะใภ้ว่าเถิด เจ้าสาม ระหว่างที่ยังอยู่ในเมืองหลวงก็ยกม้าตัวนี้ให้พี่สะใภ้ดูแลเถิด”
“ว่าอย่างไรนะ! ข้าเพิ่งได้ม้าตัวนี้มานะ!” เซียวเชียนจย่งโวยวาย
“เจ้าอยากให้ท่านพ่อรู้หรือว่าเจ้าทำเรื่องงามหน้าอันใดไว้ในจินหลิง” เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยเบาๆ “แล้วม้าตัวนี้เจ้าไปเอามาจากไหน” ในฐานะพี่ชายบิดามารดาเดียวกัน แน่นอนเซียวเชียนเหว่ยย่อมรู้จักน้องชายดี ม้าตัวนี้มีราคาอย่างน้อยหลายหมื่นตำลึง เซียวเชียนจย่งยังเด็กและไม่รอบคอบ มือเติบมาแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้สามารถเก็บเงินได้ถึงพันตำลึงก็นับว่าดีมากแล้ว
สีหน้าของเซียวเชียนจย่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาหลุกหลิกไปมาไม่กล้าสบตาพี่ชายทั้งสอง
หนานกงมั่วส่ายศีรีษะ ในเมื่อพี่ชายของเขามาแล้ว นางจึงไม่อยากยุ่งอีก “ในเมื่อไม่มีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน ฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต คุณชายทั้งสามทำสิ่งใดระวังตัวหน่อยก็ดี” เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนเหว่ยประสานมือขึ้นพร้อมกัน เอ่ย “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่แนะนำ”
หนานกงมั่วพยักหน้า โบกมือให้จิ้นจั๋วนำม้าออกไป หมุนตัวเดินไปยังประตูหอเทียนอีด้านหลัง
เนื่องจากครู่ก่อนมัวชักช้าอยู่บนถนนนานสองนาน เมื่อหนานกงมั่วเดินเข้ามายังหอเทียนอีอีกครั้ง ภายในก็เกิดเรื่องโกลาหลขึ้นแล้ว ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูไปก็เห็นกาน้ำชาลอยเข้ามาปะทะหน้า หนานกงมั่วเบี่ยงหลบ กาน้ำชาลอยผ่านข้างหูนางแล้วตกลงบนพื้นด้านนอกแตกเป็นเสี่ยงๆ ผู้คนด้านในต่อสู้กันวุ่นวาย ทั้งโต๊ะชา เก้าอี้นั่ง ถ้วยชาและกาน้ำชาก็ตกแตกบนพื้นมากมาย เมื่อผู้จัดการร้านและเสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าพวกเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ได้ จึงทำได้เพียงไปซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะเก็บเงิน ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ไม่ต้องกลัวว่ามีเรื่องกันเสร็จจะไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย
“พี่หญิงใหญ่!” หนานกงมั่วยังไม่ทันได้คิดว่าตัวเองจะเข้าไปห้ามหรือถอยออกมารอให้คนพวกนี้ต่อสู้กันให้พอใจก่อนค่อยเข้าไปคำนวณค่าเสียหาย หนานกงเจียวที่ยืนหลบอยู่ด้านข้างมองเห็นนางก่อนแล้ว ดวงตาจึงเป็นประกาย รีบตะโกนเรียกเสียงดัง เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนที่กำลังต่อสู้กันอยู่จึงหันไปมองยังประตู หญิงสาวสวมอาภรณ์สีฟ้าสีหน้าเย็นชา ไม่รู้ว่ามายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใด
ที่จริงเมื่อพวกเขาได้ยินหนานกงเจียวเรียกพี่สาวคนโตของนาง ทุกคนในที่นี้ก็สามารถคาดเดาตัวตนของหนานกงมั่วได้แล้ว แต่ยังคงตกตะลึงกับรูปร่างหน้าตาของหนานกงมั่วอยู่ดี แม้ว่าหนานกงเจียวจะมิได้งดงามหมดจด แต่ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ทว่ารูปร่างหน้าตาของคุณหนูใหญ่หนานกงผู้นี้เมื่อเทียบกับหนานกงเจียวแล้วมิได้งามกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ได้ยินว่าตระกูลหนานกงมีแต่สตรีงาม คุณหนูรองหนานกงอีกคนหนึ่ง ในคราแรกที่เพิ่งเข้าตำหนักเย่ว์จวิ้นอ๋องก็นับเป็นสตรีที่งามยิ่งในจินหลิง มีคนไม่น้อยที่ต้องถอนหายใจเสียดาย สตรีงามซึ่งหาใครเทียบได้ยากเช่นนี้กลับออกเรือนไปเสียแล้ว
หนานกงเจียววิ่งไปหาหนานกงมั่วท่าทางดีใจ “พี่หญิงใหญ่ ไยจึงมาที่นี่ได้เจ้าคะ” เมื่อเห็นหนานกงมั่วแล้ว หนานกงเจียวก็โล่งอกอย่างมาก แม้ว่านางจะภูมิใจไม่น้อยที่ได้เห็นเชื้อพระวงศ์เหล่านี้มีทำดีต่อนาง แต่นางก็ไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ หากเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดเรื่องอันใดขึ้น เกรงว่านางจำต้องยอมรับผลที่ตามมา