ตอนที่ 467 ลอบสังหาร (3)
หนานกงมั่วกระตุกมือเบาๆ ผ้าไหมจึงหลุดออกจากข้อมือของเว่ยหงเฟย ขณะเดียวกันองค์หญิงฉังผิงก็เดินเข้าไปในจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว ชั่วพริบตาพลันมองไม่เห็นแม้แต่เงา หนานกงมั่วส่งสัญญาณให้องครักษ์เฝ้าประตูปิดประตูลง ประตูจวนเยี่ยนอ๋องส่วนในปิดลงต่อหน้าต่อหน้า
เว่ยหงเฟยส่งเสียงเย็น ก้าวเท้าอยากเข้าไปด้านใน ร่างของหนานกงมั่วมาปรากฏอยู่บนบันได เอ่ยเสียงเข้ม “ผู้ใดกล้าล่วงเข้ามาในเขตพระราชฐาน ฆ่าไม่มีละเว้น”
“ขอรับ จวิ้นจู่” องครักษ์ด้านนอกเอ่ยตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
“หนานกงมั่ว บังอาจนัก”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วเอ่ย “บังอาจหรือ ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือไม่ บุกรุกเข้าจวนชินอ๋อง เดิมก็มีโทษประหาร นอกจากนี้ ท่านเป็นจวิ้นอ๋องไม่ผิด ตัวข้านี้ก็เป็นจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาทแต่งตั้งด้วยพระองค์เองเช่นกัน” เว่ยหงเฟยโกรธจนริมฝีปากสั่นระริก ทว่ากลับไม่สามารถเอ่ย “เจ้ายังเป็นลูกสะใภ้ของข้า” ประโยคนี้ออกมาได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงมั่วจางลง เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านอ๋องมารับเสด็จแม่กลับจวน ทำเพื่อเสด็จแม่จริงๆ หรือ”
เว่ยหงเฟยหรี่ตาลง เอ่ย “ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
หนานกงมั่วคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เอ่ย “ครั้งนี้เยี่ยนอ๋องไม่ได้กลับมา ดังนั้นท่านอ๋องไม่ต้องกลัว ท่านอ๋องคงไม่ได้กลัวเด็กเมื่อวานซืนเพียงไม่กี่คนจึงรีบวิ่งแจ้นมารับเสด็จแม่หรอกใช่หรือไม่ บางที…ท่านอ๋องกำลังคิดจะยึดอำนาจจากเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องอย่างนั้นหรือ ท่านอ๋อง…การเอาใจใส่เมื่อมีประโยชน์และถีบหัวส่งไม่ถามไม่ไถ่เมื่อหมดประโยชน์ ตระกูลมีอำนาจไหนจะอยากพัวพันกับท่าน การแล่นเรือไปตามลมก็อย่าพึ่งรีบเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…ยามนี้ทิศทางของลมในจินหลิงยังไม่มั่นคง เกิดท่านเลือกผิด ต่อไปจะส่งเสด็จแม่ออกมารับหน้าให้ไม่ได้แล้วนะ”
“เจ้า…เจ้า…” เว่ยหงเฟยชี้หน้าหนานกงมั่วพูดไม่ออก หนานกงมั่วปรายสายตามอง กระตุกยิ้มหยัน “ท่านอ๋องหน้าผากแดงก่ำ ดวงตาทั้งสองข้างมีเลือดคั่ง การหายใจไม่มั่นคง ดูเหมือนร่างกายจะไม่ดีนัก ระวังบ้างนะเพคะ…”
“พี่สะใภ้” เว่ยจวินปั๋วย่นคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “พี่สะใภ้พูดจากับผู้ใหญ่เยี่ยงนี้ ดูถูกกันเกินไปบ้าง เสด็จพ่อเพียงแค่…”
“แค่อันใดหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เว่ยจวินปั๋ว เอ่ย “คุณชายเว่ยช่างเป็นคนดี เพียงแต่…หากสายตามิได้มีแผนการร้ายมากมาย จวิ้นจู่เช่นข้าคงจะพยายามฝืนใจเชื่อเจ้าบ้าง แสดงละครยังเข้าไม่ถึงบทบาท อย่าได้มาเล่นขายหน้าต่อหน้าจวิ้นจู่เช่นข้าเลย ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่เล่นด้วยแล้ว”
เอ่ยจบ หนานกงมั่วจึงหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ “คนของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมา ไม่ต้องรายงาน ปล่อยสุนัขไล่ไปเลยเป็นพอ”
“…ขอรับ จวิ้นจู่” นานแล้วที่จวนเยี่ยนอ๋องไม่มีใครมาอยู่ ไหนเลยจะมีสุนัขเล่าจวิ้นจู่
กลับเข้ามาในจวน องค์หญิงฉังผิงนั่งอยู่ในห้องกำลังเย็บปักถักร้อย ได้ยินเสียงเท้าของหนานกงมั่วเดินเข้ามาพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไล่พวกเขาไปแล้วหรือ” หนานกงมั่วพยักหน้า เดินมานั่งลงด้านข้างองค์หญิงฉังผิง พลิกของในมือองค์หญิงฉังผิงไปมาด้วยความสงสัย “เสด็จแม่กำลังทำอันใดอยู่หรือเพคะ” องค์หญิงฉังผิงยิ้มบาง เอ่ย “อากาศเย็นแล้ว เย็บเสื้อกันหนาวให้เจ้ากับจวินเอ๋อร์ ที่เจ้าสวมอยู่มันบางไป จวินเอ๋อร์ก็ด้วย…”
หนานกงมั่วรู้สึกละอายใจ อีกทั้งยังซาบซึ้ง โบราณว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยนัก บ้านอื่นสามารถอยู่กับแม่สามีอย่างสงบสุขได้นับว่าโชคดีแล้ว ไหนเลยจะมีเหมือนองค์หญิงฉังผิงที่เป็นถึงองค์หญิงทว่ากลับมาเย็บเสื้อให้นาง กลับกันนางที่เป็นลูกสะใภ้ นอกจากการพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงแล้ว ก็ไม่ทำอะไรเลย
เห็นสีหน้าของนาง องค์หญิงฉังผิงตบแก้มนางเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ มารดารู้ว่าพวกเจ้าทำเรื่องสำคัญ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไม่ต้องสนใจหรอก จวินเอ๋อร์มักจะทำอันใดคนเดียวไม่เคยบอกกับข้า มีเจ้าอยู่ข้าก็วางใจ เป็นเช่นนี้ทำให้ข้าดีใจเสียยิ่งกว่าการทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นร้อยเรื่อง”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเบา
องค์หญิงฉังผิงยิ้ม “อยากทำให้ข้ามีความสุข พวกเจ้าก็รีบมีหลานให้ข้า อาศัยยามนี้ที่ข้ายังพอมีกำลังวังชา จะได้ช่วยพวกเจ้าเลี้ยงลูก”
แก้มสองข้างของหนานกงมั่วแดงระเรื่อ “เสด็จแม่…” ใบหน้าเล็กเขินอาย หนานกงมั่วได้แต่บ่นอยู่ในใจ ยามนี้มีเรื่องมากมาย ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมีลูก ความหวังขององค์หญิงที่อยากอุ้มหลานระยะเวลาใกล้ๆ นี้คงไม่อาจเป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น…อายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดก็มีลูก คุณหนูใหญ่หนานกงรู้สึกยากจะรับได้
“เว่ยหงเฟยมาที่นี่เขาต้องการอันใดกันแน่” เอ่ยเรื่องขำขันจบแล้ว องค์หญิงฉังผิงก็ไม่อยากกดดันนาง จึงเปลี่ยนเรื่องไป หนานกงมั่วนั่งอยู่ด้านข้าง ยกมือเท้าคาง เอ่ย “จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องอยากรับเสด็จแม่กลับจวนแน่นอนว่าจริงใจ เพียงแต่…เหตุผลอย่างอื่นก็มีบ้าง” หนานกงมั่วดูออก เว่ยหงเฟยมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อองค์หญิงฉังผิงไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ความรักนี้ไม่มากพอให้เขาเชื่อใจชายาของเขา ขณะเดียวกันก็ยังไม่มากพอให้เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอ๋อง ความร่ำรวย รับหญิงงามมาเป็นอนุ บางทีในใจของเว่ยหงเฟยเองยังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม บุรุษอื่นมีภรรยาสามภรรยาสี่ แล้วไยเขาจึงมีไม่ได้ องค์หญิงฉังผิงคลอดเว่ยจวินมั่วทำให้เขาอับอาย เห็นชัดว่าองค์หญิงฉังผิงผิดต่อเขา ไยจึงทำราวกับว่าเขาเป็นคนผิด
เพียงแต่เขาลืมไป ว่าบุรุษอื่นนั้นล้วนไม่ใช่ราชบุตรเขย เสพสุขกับเกียรติยศจากเชื้อพระวงศ์ทว่ากลับไม่ยอมจ่าย หากเว่ยหงเฟยมีใจเด็ดเดี่ยว ปฏิเสธตำแหน่งจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้ง เฉกเช่นเหล่าวีรบุรุษผู้ร่วมก่อตั้งประเทศ อาศัยกำลังของตนเอง ต่อให้ได้รับแต่งตั้งสูงสุดเพียงกั๋วกง กระทั่งตำแหน่งโหว หนานกงมั่วก็คงไม่ดูถูกเขาเพียงนี้ อย่างเช่นหนานกงไหว แม้จะมองเขาแล้วขัดหูขัดตา รังเกียจเขาที่ไม่ชัดเจนในเรื่องของสตรี ทว่าไม่อาจปฏิเสธความสามารถของเขาได้ และเมื่อเทียบกับหนานกงไหว เห็นได้ชัดว่าเว่ยหงเฟยไม่มีอันใดดีเลยสักอย่างเดียว
องค์หญิงฉังผิงครุ่นคิด เข้าใจทันใด เอ่ยเสียงเรียบ “ต่อไปข้าไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว ในเมื่อเจ้าและจวินเอ๋อร์ไม่อยากได้ตำแหน่งจวิ้นอ๋อง เช่นนั้นแล้วเรื่องต่อจากนี้พวกเจ้าก็ทำตามที่อยากทำเถิด มารดาเพียงอยากให้พวกเจ้ามีความสุขก็พอแล้ว”
“เพคะ เสด็จแม่” หนานกงมั่วยิ้มบาง
กลางดึก หนานกงมั่วนั่งพลิกอ่านจดหมายที่พึ่งได้รับมา จดหมายแน่นอนเป็นของเว่ยจวินมั่วที่ส่งผ่านวังจื่อเซียวมายังจินหลิง ในจดหมายเอ่ยถึงผู้ป่วยที่เซียวฉุนปล่อยลงมาจากเขาลั่วหยาง ยามนี้เมืองหลิงโจวผิงโจวทั้งสองเมืองโรคระบาดกระจายไปกว่าครึ่ง ราชสำนักตัดขาดเส้นทางที่มุ่งหน้ามายังจินหลิงเพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจายมายังจินหลิง นอกจากนี้คุณชายเสียนเกอยังศึกษาตัวยาที่ช่วยรักษาโรคได้แล้ว เพียงแต่คุณชายเสียนเกอยังไม่พอใจต่อผลที่ได้จึงต้องปรับปรุงพัฒนาต่อไป อีกทั้งในพื้นที่ยังขาดแคลนยาอย่างร้ายแรง เป็นต้น
อ่านมาถึงตรงนี้ หนานกงมั่วจึงลอบถอนหายใจหนักๆ อยู่ในใจ ขอเพียงศิษย์พี่ศึกษาตัวยารักษาโรคออกมาได้ก็พอแล้ว อย่างน้อยก็รับรองถึงความปลอดภัยของพวกเขาได้ ส่วนอย่างอื่น…เดี๋ยวมันจะต้องดีขึ้น
อ่านต่อด้านหลัง เว่ยจวินมั่วถามถึงข่าวคราวในจินหลิง กำชับนางให้ระวังตัว หากมีสิ่งใดไม่น่าไว้ใจก็ให้พาองค์หญิงฉังผิงหนีจากจินหลิงมุ่งหน้าไปยังโยวโจว คนของวังจื่อเซียวเองก็แยกตัวกลับไปกว่าครึ่งแล้ว ไม่นานก็จะกลับไปคุ้มกันนางกับองค์หญิงฉังผิงที่จินหลิง