ตอนที่ 489 พลั้งมือฆ่าคน (1)
หนานกงซูกำรอบถ้วยน้ำชาในมือแน่น หลับตาลงแล้วเอ่ย “แน่นอนว่าข้ารู้ดี พี่สาว ข้าขอร้อง…ข้าฝากข้อความไปบอกพี่ใหญ่หน่อยได้หรือไม่”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว หนานกงซูกล่าวต่อว่า “เพียงบอกว่า…ข้าคิดถึงบ้านนิดหน่อย หากพี่สะใภ้มีเวลาให้เข้ามาหาข้าที่วังบ้าง”
หนานกงมั่วเข้าใจว่า หนานกงซูคงมีเรื่องบางอย่างต้องการบอกกับหนานกงชวี่ เพียงแต่หนานกงชวี่เป็นบุรุษ จะเข้าออกวังหลวงคงไม่สะดวกนัก แต่หลินซื่อซึ่งเป็นพี่สะใภ้ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เมื่อเห็นหนานกงมั่วจ้องมองตัวเองอย่างพิจารณา หนานกงซูก็ฝืนยิ้มเจื่อนๆ “พี่สาวอย่าได้กังวลไปเลย ข้าเพียงขอให้ท่านช่วยส่งข่าวให้เท่านั้น นับตั้งแต่…ท่านพ่อก็ไม่เคยมาหาข้าอีกเลย” จวนฉู่กั๋วกงยังไม่มีนายหญิงที่เหมาะสมตามครรลอง เฉียวเฟยเยียนในยามนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องและวังหลวงเลย แม้แต่ออกไปข้างนอกก็ไม่ค่อยสะดวกนัก หลินซื่อเองก็ไร้ความรู้หรือประสบการณ์ จึงไม่แปลกที่ไม่มีใครเคยมาเยี่ยมหนานกงซู
หนานกงมั่วรู้ดีว่าทุกอย่างย่อมไม่ง่ายอย่างที่หนานกงซูพูด แต่ก็มิได้สนใจ เพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปบอกแทนเจ้าเอง แต่พี่สะใภ้จะมาหรือไม่ข้าคงบอกไม่ได้”
หนานกงซูพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าซีดเผือดของนางแฝงความขมขื่นไว้ “ไม่คิดเลยว่า สุดท้ายแล้วข้าจะขอร้องพี่สาวได้เพียงคนเดียวเท่านั้น” นางลุกขึ้นยืน “รบกวนพี่สาวกับคุณหนูเซี่ยมากแล้ว ขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นหนานกงซูออกไปโดยไม่หันกลับมา เซี่ยเพ่ยหวนก็เอ่ยท่าทางครุ่นคิด “หนานกงซูดูท่าทางแปลกไปนะ”
“แปลกไปจริงๆ เสียด้วย” หลังผ่านเรื่องราวมากมาย หนานกงซูก็มิใช่คุณหนูเจ้าแผนการแต่ไร้สมองแห่งจวนฉู่กั๋วกงเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว เซี่ยเพ่ยหวนพยักหน้าแล้วเอ่ยเตือน “เจ้าควรอยู่ห่างจากนางจะดีกว่า ข้ารู้สึกว่านางไม่ค่อยปกติ” หนานกงมั่วพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยว่า “ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องห่วง หากนางฉลาดขึ้นแล้วจริงๆ นางไม่มีทางมาหาเรื่องข้าแน่”
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้ม “ก็จริง คนที่กล้ามาหาเรื่องเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นคนโชคร้ายทั้งสิ้น”
“คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่” ด้านนอกศาลา นางกำนัลในวังหลวงคนหนึ่งรีบเข้ามาทำความเคารพ
หนานกงมั่วเห็นว่าเป็นนางกำนัลในวังหลวงของไทเฮาจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือ” นางกำนัลเอ่ยตอบว่า “เรียนจวิ้นจู่ พิธีราชาภิเษกกำลังจะเริ่มแล้ว ไทเฮาและองค์หญิงให้มาเชิญจวิ้นจู่เจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว ลำบากเจ้าแล้ว” หนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนลุกขึ้นพร้อมกัน
“มิได้เจ้าค่ะ บ่าวขอตัวก่อน”
พิธีราชาภิเษกจัดขึ้นที่ตำหนักชินอันที่อยู่ส่วนนอกสุดของวังหลวง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีสำคัญในวังหลวง ปกติแล้วเหล่านางสนมและเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิงแทบไม่ได้มาที่แห่งนี้แม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต นอกจากในวันสำคัญอย่างพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้เช่นนี้เท่านั้น เพราะที่นี่อยู่ห่างไกลจากตำหนักชั้นในมาก ฉะนั้นเวลาออกมาจะต้องมีไทเฮาและฮองเฮาเป็นผู้นำขบวนมา
เมื่อตามไทเฮามาจนถึงตำหนักชินอัน ด้านนอกของตำหนักเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางและข้าราชการชั้นสูง
“ถวายพระพรไทเฮา ถวายพระพรฮองเฮา”
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก” ไทเฮาเอ่ยเสียงเข้ม
“ขอบพระทัยไทเฮา”
หนานกงมั่วยืนอยู่ข้างองค์หญิงฉังผิง มองดูภาพด้านหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงมาหลายต่อหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมพิธีใหญ่เช่นนี้ ในหมู่ข้าราชการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ไม่น้อย ทั้งหนานกงไหว เอ้อกั๋วกงหยวนชุน จิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เหล่าผู้สืบทอดผู้ปกครองเมือง รวมถึงนายท่านตระกูลขุนนางต่างๆ
เมื่อเห็นหนานกงมั่ว เซียวเชียนจย่งก็โบกมือให้นางอย่างอารมณ์ดี ตั้งแต่ถูกหนานกงมั่วกำราบลงได้ อีกทั้งได้รับกริชจากนางมา เซียวเชียนจย่งจึงไม่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับหนานกงมั่วอีกต่อไป
“ครั้งที่แล้วที่เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้คือเมื่อครั้งที่เสด็จพ่อขึ้นครองราชย์” องค์หญิงฉังผิงมองไปยังตำหนักชินอันแสนวิจิตรตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
หนานกงมั่วเอ่ยเบาๆ “หม่อมฉันเห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรกเพคะ ไม่มีโอกาสได้เห็นพิธียิ่งใหญ่ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน” องค์หญิงฉังผิงยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดเลย แต่ว่า…เมื่อครั้งเสด็จพ่อขึ้นครองราชย์บรรยากาศกลับดูมีชีวิตชีวาและคึกคักกว่ายามนี้เสียอีก” ครั้งนั้นเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและแม่ทัพฝ่ายบู๊ใครบ้างเล่าที่จะไม่ชื่นชมยินดี ไม่เหมือนอย่างยามนี้ที่ไม่รู้ว่าภายในใจของผู้คนมากมายนั้นคิดสิ่งใดอยู่
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนคอยมองอยู่บนสวรรค์ พระองค์จะอวยพรให้อาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอนเพคะ”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด”
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!” เสียงร้องดังแว่วมา เสียงเพลงและพิธีการเริ่มต้นขึ้น พรมทอสีแดงลวดลายสีทองทอดยาวไปจนถึงซุ้มประตู เสียงแส้อันไพเราะดังขึ้นสองสามครั้ง สีหน้าของทุกคนในพิธีเริ่มเคร่งขรึมขึ้น เห็นเพียงเซียวเชียนเยี่ยสวมอาภรณ์ลวดลายมังกรทองนั่งอยู่บนราชรถ ภายใต้ม่านลูกปัดหยกทั้งสิบสองเส้นที่ห้อยลงมาจากเครื่องสวมศีรษะเสริมให้ใบหน้าอ่อนวัยสง่างามและน่าเกรงขาม ราชรถหยุดอยู่ที่ขั้นบันไดของตำหนักชินอัน เซียวเชียนเยี่ยจับมือขององครักษ์แล้วก้าวลงมาจากราชรถ
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
เซียวเชียนเยี่ยเงยหน้าขึ้น เหลือบมองไปบนตำหนักชินอัน เหนือขั้นบันไดของตำหนักมีเพียงไทเฮา ฮ่องเฮา และผู้สำเร็จราชการเท่านั้น ไม่สิ แม้แต่สามคนนี้ก็ยังอยู่ต่ำลงไปอีก เขาเป็นคนเดียวที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้นได้ พลันนึกถึงคำพูดของเสด็จปู่ขึ้นมา ฮ่องเต้มีได้เพียงผู้เดียว
เขาหลับตาลง เซียวเชียนเยี่ยลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่น ถูกต้องแล้ว ในเมื่อเขาเดินมาถึงจุดนี้ได้ นับจากนี้เขาจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
เซียวเชียนเยี่ยปล่อยมือองครักษ์ เดินขึ้นบันไดตำหนักกว่าสี่สิบห้าขั้นทีละก้าวๆ เมื่อเดินมาถึงฮองเฮา เขาก็หยุดและยื่นมือไปพยุงฮองเฮาขึ้นมา “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ใบหน้างดงามของฮองเฮาปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนเหมาะสม
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้าแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ เดินจนกระทั่งไปถึงจุดสูงสุดซึ่งอยู่ห่างจากไทเฮาและผู้สำเร็จราชการเซียวฉุนหนึ่งขั้น เมื่อเห็นเซียวฉุนคุกเข่าอยู่บนพื้น ภายในใจเซียวเชียนเยี่ยก็รู้สึกยินดีอย่างประหลาด
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เหล่าขุนนางเอ่ยพร้อมกัน
พิธีการและดนตรีหยุดลงกะทันหัน ด้านหน้าของตำหนักชินอันเงียบลง
เสนาบดีกรมพิธีการออกมาข้างหน้าพร้อมกับราชโองการในมือ กล่าวเสียงดัง “ด้วยราชโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้มีพระบัญชา เฉิงอันฮ่องเต้ได้รับโองการสวรรค์ เริ่มยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์และปรีชาสามารถ สืบทอดลูกหลาน…เถลิงราชสมบัติในวันกุ๋ยเหม่า เดือนอี๋โฉ่ว ปีที่เก้าแห่งรัชศกหงกวง ณ ตำหนักชิงอัน กำหนดให้ปีหน้าเป็นปีแรกของรัชศกเฉิงอัน…อภัยโทษแก่แผ่นดิน ประกาศทั้งในและนอกอาณาจักร คนทั้งปวงโปรดรู้โดยทั่วกัน จบราชโองการ”
“มอบตราประทับฮ่องเต้!”
เจ้าหน้าที่พิธีการก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับตราประทับหยกฮ่องเต้และถวายให้เซียวเชียนเยี่ยด้วยความเคารพ ดวงตาใต้เครื่องสวมศีรษะฉายแววเข้มขึ้น เซียวเชียนเยี่ยเอื้อมมือออกไปและหยิบตราประทับหยกในกล่องบุนวมขึ้นมาเบาๆ
“นับแต่วันนี้ไป เราคือ…จักรพรรดิเฉิงอัน”
“ทรงพระเจริญหมื่นหมื่นปี!” เสียงแสดงความยินดีใต้บันไดตำหนักดังก้องราวกับฟ้าร้อง เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง ในยามนั้นได้มีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นพร้อมกัน เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้องสั่นสะเทือนหัวใจของผู้คน
“ขอฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญ!”
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
ทุกคนเอ่ยขอบพระทัยพร้อมกัน มองขึ้นไปยังจวิ้นอ๋องหนุ่มบนตำหนัก ยุคสมัยแห่งจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว นับจากนี้พวกเขาจะเข้าสู่ยุคสมัยของเซียวเชียนเยี่ย
ในยามกลางคืนพระราชวังสว่างไสวและคึกคัก แม้จะเป็นช่วงไว้ทุกข์ของฮ่องเต้พระองค์เก่าจึงไม่เหมาะสมจะจัดงานรื่นเริง ทว่าการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เช่นนี้จะไม่ให้จัดงานฉลองเลยได้อย่างไร เซียวเชียนเยี่ยเองก็ไม่มีข้อยกเว้น หนานกงมั่วนั่งข้างองค์หญิงฉังผิง ชิมอาหารและสุราชั้นยอดบนโต๊ะอย่างเงียบๆ พลางมองดูเหล่าผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงไปด้วย