หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 490 พลั้งมือฆ่าคน (2)

ตอนที่ 490 พลั้งมือฆ่าคน (2)

ตอนที่ 490 พลั้งมือฆ่าคน (2)
ในช่วงแรกของการรวมอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นปึกแผ่น ขับไล่เป่ยหยวนไปยังดินแดนทุ่งหญ้าและทะเลทรายที่อยู่นอกด่านห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้ มีเพียงแคว้นเล็กๆ ทางตะวันตกไม่กี่แคว้นที่หลงเหลืออยู่โดยรอบ อาณาจักรเซี่ยถือได้ว่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวบนแผ่นดินนี้ ด้วยภูเขาสูงหนทางไกลและระยะเวลากระชั้นชิด แน่นอนว่าแคว้นเหล่านี้ย่อมส่งทูตมาแสดงความยินดีได้ไม่ทันเวลา ฉะนั้นงานเลี้ยงในวังหลวงคืนนี้จึงมีเพียงเหล่าขุนนางของอาณาจักรเซี่ยเท่านั้น

ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่ถูกเชิญมามากที่สุดน่าจะเป็นผู้สืบทอดผู้ปกครองเมืองเหล่านั้น แต่ละคนแต่งกายด้วยผ้าทอและเครื่องแต่งกายอันวิจิตรดูสูงส่ง ยังโชคดีที่เซียวเชียนเยี่ยขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว หากยังเป็นเพียงพระราชนัดดาอยู่ เขาคงไม่สามารถฉกฉวยผลประโยชน์อันใดต่อหน้าคนเหล่านี้ไปได้ นอกจากนี้ผู้ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นตระกูลจู เดิมทีตระกูลจูอยู่ปลายแถวของสิบตระกูลขุนนางใหญ่ ทว่าการจัดงานเลี้ยงในวังหลวงครั้งนี้ทำให้ตำแหน่งนายท่านตระกูลจูเลื่อนมาอยู่ในอันดับที่สาม เป็นรองเพียงตระกูลเซี่ยและตระกูลฉินสองตระกูลเพียงเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก แม้ว่าตอนนี้ตระกูลจูจะมีเซี่ยนจู่และกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ซึ่งกำลังตั้งครรถ์พระโอรสเพิ่มขึ้นมา ทว่าด้วยกำลังของตระกูลจูก็ยังไม่อาจมาถึงจุดนี้ได้ การจัดการเช่นนี้หมายความได้เพียงว่าราชวงศ์เป็นฝ่ายใช้ตระกูลจูให้ปฏิบัติหน้าที่ ทันใดนั้นสีหน้าของนายท่านตระกูลขุนนางทั้งหลายที่มองนายท่านตระกูลจูก็ดูค่อนข้างซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้

จูชูอวี้ถือเอาฐานะเซี่ยนจู่เดินผ่านคุณชายใหญ่ตระกูลจูมานั่งข้างนายท่านตระกูลจู เมื่อมองไปยังซั่นจยาเซี่ยนจู่ผู้สง่างามสวมผ้าคลุมหน้าปิดบัง ภายในใจหลายคนก็เปลี่ยนความคิดของพวกเขา แต่ถึงอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าจูชูอวี้จะไม่รับรู้ถึงสายตาที่เพ่งพินิจจ้องมองนางแม้แต่น้อย นางก้มศีรษะดื่มสุราอย่างสงบนิ่ง ไม่ลืมที่จะยกจอกสุราหันไปทางหนานกงมั่วด้วย

หนานกงมั่วทำอันใดไม่ค่อยถูก ดูเหมือนว่าจูชูอวี้จะชอบทักทายนางอยู่ตลอดไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม

หนานกงมั่วส่ายหน้า หันไปมองเซียวฉุนซึ่งนั่งอยู่ใต้เซียวเชียนเยี่ย เซียวฉุนพิงเก้าอี้ ในมือถือจอกสุราดื่มอย่างใจลอย ดวงตากึ่งหลับทำให้ยากที่จะเดาอารมณ์ของเขาได้ ทว่าหนานกงมั่วรู้สึกได้เพียงว่าอารมณ์ของเขาน่าจะไม่ค่อยดีนัก เมื่อมองไปยังเซียวเชียนเยี่ยอีกครั้ง หนานกงมั่วก็เลิกคิ้วแล้วจึงยิ้มออกมา อารมณ์ไม่ดีจริงๆ เสียด้วย ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้เซียวฉุนคงจะไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างเปิดเผยเป็นแน่

ตำหนักที่มีเตาไฟเผาไหม้ด้วยถ่านยังคงอบอุ่นเหมือนช่วงใบไม้ผลิในฤดูหนาว เพียงแต่เสียงดังจอแจเช่นนี้กลับทำให้หนานกงมั่วรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย หลังจากพูดคุยกับองค์หญิงฉังผิงเล็กน้อยแล้ว หนานกงมั่วก็ลุกเดินออกไปเพียงลำพัง

เดินออกมาจากตำหนักที่จัดงานเลี้ยง ภายในอุทยานอวี้ฮวาหนาวเย็นเล็กน้อย เสียงปี่และเครื่องสายดังแว่วมาแต่ไกลบ่งบอกถึงความสงบในยามนี้ ที่แม้แต่เสียงนั้นก็ดูราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล หนานกงมั่วสูดหายใจเข้าลึกและเดินเล่นภายในอุทยานอวี้ฮวา

มองขึ้นไปบนพระจันทร์สว่างที่ปรากฏเพียงเสี้ยวหนึ่งอยู่บนฟากฟ้า หนานกงมั่วก็นึกถึงใครบางคนที่อยู่หลิงโจว

ตอนที่จะเดินทางไปเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วก็ไม่รู้ว่าหายดีหรือไม่ ก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งไม่มีเวลามาคิดมาก ทว่ายามนี้เงียบสงบลงแล้ว ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกคิดถึงขึ้นมา คิดถึงใครบางคนยิ่งนัก เหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากเจอใครสักคน

หนานกงมั่วยิ้มพลางลูบดอกไม้ที่ผูกไว้ด้วยผ้าบนต้นไม้ข้างๆ ความรู้สึกคิดถึงใครสักคนก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว

เมื่อหันกลับมาจะกลับไปยังงานเลี้ยง กลับเห็นอาภรณ์สีขาวลอยผ่านทางแยกเล็กๆ ด้านหน้า หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คนที่สวมอาภรณ์สีขาวทั้งร่างในวันเวลาเช่นนี้ย่อมเห็นไม่บ่อยนัก หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจถึงตัวตนของผู้ที่กำลังมา ก้าวเดินไปข้างหน้าได้เพียงสองสามก้าวก็เห็นร่างในอาภรณ์สีขาวราวกับหิมะ “ไต้ซือเนี่ยนหย่วน ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

เมื่อชายสวมอาภรณ์สีขาวหันหลังกลับมา ที่แท้ก็เป็นไต้ซือเนี่ยนหย่วนผู้มีรูปงาม มีไหวพริบและความสามารถโดดเด่นจากวัดต้ากวงหมิงจริงๆ เสียด้วย วัดต้ากวงหมิงถือได้ว่าเป็นพระอารามหลวงแห่งอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ เนี่ยนหย่วนมิได้เป็นเพียงภิกษุผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น ทว่ายังเป็นบุคคลที่มีลำดับอาวุโสสูงสุดในวัดต้ากวงหมิงอีกด้วย การที่เขามาร่วมงานพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ในวันนี้จึงไม่น่าแปลกอันใด

เนี่ยนหย่วนประสานมือคำนับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่นี่เอง สบายดีหรือไม่”

หนานกงมั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สบายดีเจ้าค่ะ แต่ว่า…การที่ไต้ซือมาอยู่ตรงนี้ก็ทำให้ข้าแปลกใจอยู่บ้าง” แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องจริง หนานกงมั่วรู้มานานแล้วว่าเนี่ยนหย่วนไม่ใช่แค่ภิกษุที่หนีทางโลกหันเข้าทางธรรมเท่านั้น ไม่แปลกที่จะอยู่ในที่แบบนี้ ภิกษุที่มีชื่อเสียงรูปอื่นๆ ไม่ใช่ว่าไร้พรสวรรค์โดดเด่น แต่ส่วนใหญ่จะเก่งทางดีดฉิน หมากรุก พู่กันจีน และวาดภาพเสียมากกว่า ส่วนเนี่ยนหย่วนนั้นเห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญในกลอุบายและยุทธวิธีรบ แม้ว่าเขาจะเล่นหมากรุกเป็นบางครั้งบางคราว ทว่าก็ยังแฝงความกล้าหาญไว้ในกระดานหมากรุก นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ภิกษุผู้มองทะลุทุกสิ่งบนโลกและหันหน้าเข้าทางธรรมตั้งแต่เด็กจะร่ำเรียนเป็นแน่

ดูเหมือนเนี่ยนหย่วนจะไม่เคยปฏิบัติตัวเยี่ยงภิกษุที่เข้าใจโลกต่อหน้าหนานกงมั่วเลย เขายิ้มด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ได้พบกับจวิ้นจู่นับว่าเป็นโชคชะตา หากช้ากว่านี้ก็เกรงว่าจะไม่เจอกันอีกนานเลย”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ไต้ซือจะไปจากจินหลิงแล้วหรือ” นางคิดว่าเนี่ยนหย่วนจะมีความทะเยอทะยานมากเสียอีก อย่างนั้นก็ควรอยู่ในจินหลิงต่อไปสิถึงจะถูก จากสถานการณ์ในยามนี้ของเซียวเชียนเยี่ย เขาย่อมต้องการใครสักคนที่จะช่วยวางแผน

เนี่ยนหย่วนยิ้ม มองขึ้นไปบนพระจันทร์ที่สว่างไสวและดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าแล้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แผ่นดินเปลี่ยนไปแล้ว อาตมาย่อมต้องทำในสิ่งที่สมควรทำ”

“สิ่งที่ไต้ซือควรทำคือเรื่องใดกัน” หนานกงมั่วถามด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่าไต้ซือควรละเว้นเนื้อสัตว์ สวดมนต์ เพื่อโปรดสรรพชีวิตหรอกหรือเจ้าคะ”

“ก็ล้วนเป็นการโปรดสรรพชีวิตทั้งนั้น” เนี่ยนหย่วนยิ้มตอบ

หากดูจากสิ่งที่เอ่ยออกมาแล้ว จะให้ข้าเชื่อเช่นนั้นได้อย่างไร เนี่ยนหย่วนยิ้มโดยไม่เอ่ยอันใด แสงจันทร์สาดส่องมาต้องร่างกายของเขา ราวกับทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีเงิน และช่วยเพิ่มความสง่างามอย่างภิกษุมากขึ้น

หนานกงมั่วยักไหล่กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขออวยพรให้ไต้ซือทำทุกอย่างได้ราบรื่น ไม่ทราบว่าไต้ซือจะไปที่ใดกัน”

เนี่ยนหย่วนจ้องมองหนานกงมั่วอย่างสื่อความหมายแล้วเอ่ยตอบ “โยวโจว”

หนานกงมั่วตะลึงงันไปครู่หนึ่งแต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงสินะ ได้ยินมาว่าไต้ซือเนี่ยนหย่วนกับเยี่ยนอ๋องสนิทสนมกันไม่น้อย”

“เยี่ยนอ๋องมีจิตเมตตา” เนี่ยนหย่วนกล่าว

หนานกงมั่วยิ้มและกล่าวว่า “ไต้ซือ ข้าคิดมาตลอดว่าท่านดูไม่เหมือนพระเอาเสียเลย”

“เรื่องนี้จวิ้นจู่เคยพูดแล้ว”

“ยามนี้ข้าก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่” หนานกงมั่วเอ่ย

เนี่ยนหย่วนยิ้มบางๆ ทว่าดูราวกับแฝงความเศร้าเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นเหลือบมองแสงจันทร์บนท้องฟ้าแล้วถอนหายใจพลางเอ่ย “ไม่แน่ว่าวันหนึ่งอาตมาอาจจะถอดจีวรนี้ออก”

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไต้ซือสึกแล้ว ไม่รู้จะมีสตรีกี่นางที่เคลิบเคลิ้มหลงใหลท่าน”

เนี่ยนหย่วนยิ้มบาง เอ่ยเพียงว่า “อาตมากำลังจะออกจากจินหลิงในอีกไม่กี่วัน เกรงว่าคงไม่ได้บอกลาเว่ยซื่อจื่อด้วยตัวเองแล้ว ท่านทั้งสองโปรดดูแลตัวเองด้วย”

หนานกงมั่วพยักหน้ารับ “ขอบคุณไต้ซือมาก ข้าจะบอกให้เอง”

เมื่อเห็นเนี่ยนหย่วนเดินออกไปอย่างสบายใจ หนานกงมั่วก็ยิ้มแล้วหันหลังกลับไปยังตำหนัก เดินไปเพียงสองก้าวก็ได้ยินเสียงแหลมกรีดร้องดังมาจากสถานที่จัดงานเลี้ยง หนานกงมั่วมีสีหน้าตกใจ ไม่คิดอันใดมากมาย รีบกระโดดขึ้นแล้วเหาะไปยังตำหนักข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ยังไม่ทันเข้าไปถึงก็มีกลิ่นคาวเลือดฉุนเตะจมูก หนานกงมั่วรีบเข้าไปในตำหนัก เห็นองค์หญิงฉังผิงยังปลอดภัยก็โล่งใจ “เสด็จแม่”

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท