ตอนที่ 468 โดนบังคับให้ติดกับดัก (1)
วางกระดาษเขียนจดหมายให้เรียบ หนานกงมั่วยิ้มบางพลางหยิบพู่กันขึ้นมา ห้องหนังสือที่เงียบสงัดได้ยินแม้เสียงเปลวเทียนวูบไหว
หนานกงมั่วยกมือขึ้นมา พู่กันในมือพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ทะลุหน้าต่างออกไปยังความมืดด้านนอก ได้ยินเสียงดังจากด้านนอก ราวกับเสียงบางสิ่งบางอย่างหล่นลงบนพื้น หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ยเสียงเย็น “พวกเจ้ากล้าไม่เบา ถึงกล้าบุกรุกเข้าจวนเยี่ยนอ๋องในยามวิกาล”
ประตูด้านนอกเงียบไปชั่วครู่ ทันใดนั้นก็มีบางอย่างทะลุหน้าต่างออกมา ชายชุดดำหลายคนกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่รีรอพุ่งเข้าหาหนานกงมั่วทันที หนานกงมั่วก้าวถอยหลังไม่กี่ก้าว เข็มเงินในมือลอยออกไปโดยไร้ความปรานี ชายชุดดำหลายคนไม่ทันระวังล้มลงไปทันใด หนานกงมั่วเคลื่อนไหว ลอยออกไปทางประตูอย่างสง่างาม ชายชุดดำหน้าประตูไม่ทันระวังพลันรับรู้ถึงความเย็นประชิดลำคอ ล้มล้มไปกองกันที่พื้น
หนานกงมั่วลอยลงมาอยู่ในห้องโถงกลางจวน ควงกริชที่เปื้อนเลือดในมือเล่น หลุบตาลง เอ่ย “ในเมื่อมาแล้ว ไยต้องซ่อนหัวโผล่หางมาให้ข้านึกขันด้วยเล่า”
“ไม่คิดว่า…ฝีมือการสังหารของจวิ้นจู่จะปราดเปรียวเพียงนี้” ชายชุดดำคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบห้าว เสียงดังขึ้น ชายชุดดำหลายคนมาปรากฏตัวที่ริมผนังในเรือนเล็ก หนานกงมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายชุดดำเอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่วางใจ พวกเราต้องการชีวิตจวิ้นจู่เพียงผู้เดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้บริสุทธิ์คนอื่นให้ต้องลำบาก”
หนานกงมั่วยิ้มเย็น “การแต่งตัวน่าขายหน้าเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่คนในยุทธภพ”
ชายชุดดำหยุดเสียงหัวเราะ เอ่ย “จอมยุทธ์ในยุทธภพก็กลัวการล้างแค้นจากวังจื่อเซียวนะ จวิ้นจู่ คิดจะโทษก็โทษตนเองที่แส่หาเรื่อง”
“คิดว่าตนเองฉลาด” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไม่เอ่ยประโยคนี้ออกมาบางทีข้าอาจจะเดาไม่ได้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ตอนนี้…”
ชายชุดดำชะงัก ไม่นานจึงหัวเราะ “ไม่เป็นไร” คนตาย ต่อให้ทายถูกอย่างไรก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
หนานกงมั่วยิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจ”
ชายชุดดำเอ่ย “หรือว่า จวิ้นจู่คิดจะพึ่งองครักษ์จวนเยี่ยนอ๋องพวกนั้น” หนานกงมั่วหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อพวกเจ้าเข้ามาแล้ว คิดว่าองครักษ์จวนเยี่ยนอ๋องก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลงมือเถิด มาดูกันว่าสุดท้าย…ใครจะแพ้ใครจะชนะ”
“จวิ้นจู่ ล่วงเกินแล้ว” ชายชุดดำเอ่ย ยกมือขึ้นมากำลังจะลงมือ พลันได้ยินเสียงทะลุความมืดมาฟังแล้วคล้ายจะอารมณ์ไม่ดีนัก “คนสมัยนี้ไม่รู้จักละอายเลยจริงๆ บุรุษมากมายล้อมสตรีเพียงคนเดียว ทำให้คนทนดูไม่ได้”
หนานกงมั่วชะงัก มองคนมาใหม่ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “หัวหน้าจิ้น เป็นอย่างไรบ้าง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
ไม่รู้จิ้นจั๋วมานั่งอยู่บนหลังคาห่างออกไปไม่ไกลตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าเบื่อหน่ายปรายตามมองหนานกงมั่ว เอ่ย “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
“จวินมั่วให้ท่านมาหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว อารมณ์ดีขึ้นมา
จิ้นจั๋วส่งเสียงหยันในลำคอ เหาะเข้าไปในเรือนเล็ก
มองชายที่มาโผล่ในเรือนเล็ก คนที่มาลอบทำร้ายเองก็ตื่นตระหนก พวกเขามาลอบสังหารหนานกงมั่วแน่นอนว่าเตรียมตัววางแผนมาก่อนแล้ว ยามนี้เว่ยซื่อจื่อไม่อยู่ คนของวังจื่อเซียวส่วนใหญ่ยังกลับมาไม่ถึงจินหลิง เดิมองครักษ์ดูแลจวนเยี่ยนอ๋องนั้นมีไม่มากอยู่แล้ว ยังต้องดูแลองค์หญิงฉังผิง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด แม้แต่ลิ่นฉังเฟิงพวกเขาก็ส่งคนไปขัดขวางเอาไว้แล้ว เพื่อไม่ให้ทำลายแผนการของพวกเขา ใครจะคิดว่าระมัดระวังรอบคอบเพียงนี้ยังมีคนออกมาก่อกวน
จิ้นจั๋วกอดอกเอนตัวพิงเสา มองชายชุดดำที่เข้ามาลอบสังหารอย่างเบื่อหน่าย ยิ้มเย็นอย่างไม่พอใจ “เซียวเชียนเยี่ยนับวันยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ แม้แต่การลอบสังหารแบบนี้ยังกล้าเล่น”
“บังอาจ!” เอ่ยจบ ชายผู้มาลอบสังหารรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว รีบหุบปาก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าสีดำไม่น่ามองขึ้นมา ทำได้เพียงจ้องจิ้นจั๋วเขม็งพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร หากไม่เกี่ยวข้องกับหนานกงมั่ว ทางที่ดีอย่าเข้ามาแส่เลย”
จิ้นจั๋วเอ่ยด้วยท่าทางเกียจคร้าน “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินหรือ ว่าเว่ยจวินมั่วเรียกข้ามาคุ้มกันภรรยาของเขา เจ้าว่าข้าเป็นใครเล่า”
หนานกงมั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นองครักษ์ในวังหลวงจริงด้วย หากเป็นคนในยุทธภพจะไม่รู้จักหัวหน้าจิ้นได้เยี่ยงไร” จอมยุทธ์ในยุทธภพเองใช่ว่าทุกคนจะรู้จักจิ้นจั๋ว แต่กล้าลงมือในเมืองจินหลิงแห่งนี้คิดว่าคงไม่ใช่จอมยุทธ์ แม้ไม่เคยเห็นแต่ต้องเคยได้ยินชื่อจิ้นจั๋วมาบ้าง
เมื่อเปิดเผยฐานะไปแล้ว หากยังยื้อต่อไปเห็นชัดว่าคงยิ่งทำให้ตนเองดูโง่มากขึ้น แค่นเสียงเย็น คนที่เป็นหัวหน้าจึงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าโทษพวกเราใจร้ายก็แล้วกัน สังหารให้หมด”
“อย่าพูดมาก” จิ้นจั๋วยิ้มเย็นเอ่ยขึ้น ชักกระบี่ยาวประจำตัวออกมาพุ่งตรงเข้าหาชายชุดดำอย่างไร้ความปรานี เห็นเขาลงมือ หนานกงมั่วเองก็ไม่เกรงใจ แสงสีเงินปรากฏขึ้นในมือ วิ่งผ่านชายชุดดำไปราวกับวิญญาณ คนที่นางวิ่งผ่านนั้นล้มลงกับพื้นไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ผู้ลอบสังหารดูออกว่าหนานกงมั่วนั้นต่อสู้แบบประชิดตัวได้โหดเหี้ยมเพียงใด จึงถอยห่างเว้นระยะจากนาง น่าเสียดายเพียงพวกเขาถอยห่าง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือเข็มเงินของหนานกงมั่ว ครั้งนี้หนานกงมั่วไม่ได้เหลือความปราณีนีใดๆ หากใช้ควันพิษอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย แต่อาวุธลับเข็มเงินชุบยาพิษนั้นเวลาใช้สะดวกยิ่งกว่า
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่ฝีมือเยี่ยมยอด” ระหว่างการต่อสู้ จิ้นจั๋วยังไม่ลืมสังเกตหนานกงมั่วที่อยู่ด้านข้าง ตอนอยู่จินหลิงก็พอรู้มาบ้างว่าฝีมือของซิงเฉิงจวิ้นจู่เก่งกาจ แต่มาถึงตอนนี้จิ้นจั๋วจึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ของหนานกงมั่วไม่เพียงไม่เลวเท่านั้น ต่อให้เป็นยอดจอมยุทธ์ใหญ่ในยุทธภพเองบางทีอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะหนานกงมั่วอายุยังน้อย จิ้นจั๋วคงสงสัยว่าตนเองนั้นเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้หรือไม่ แต่เมื่อคิดถึงอีกคนที่อายุน้อยกว่าตนเองทว่าวรยุทธ์กลับสูงกว่าตนเองมากอย่างเว่ยจวินมั่ว จิ้นจั๋วพลันรู้สึกว่าสมดุลแล้ว คนมีความสามารถมารวมตัวกันจริงๆ
หนานกงมั่วหลุบตายิ้มขัน มีดสั้นในมือกลับตวัดแทงลำคอไม่หยุด เอ่ยด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “หัวหน้าจิ้นชมเกินไปแล้ว ข้ายังห่างไกล”
จิ้นจั๋วยักไหล่ วรยุทธ์แบบนี้ยังเรียกว่ายังอีกไกล บุรุษบนโลกนี้ยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ
ทั้งสองต่อสู้พร้อมพูดคุยกันไปด้วย คนลอบสังหารอดไม่ได้โมโหขึ้นมา ลงมือหนักหน่วงยิ่งขึ้น
เสียงต่อสู้ดังเพียงนี้ ด้านนอกแน่นอนว่าต้องได้ยิน ฝั่งนี้ต่อสู้กันไปได้ชั่วครู่ ไฟในเรือนทิศตะวันออกขององค์หญิงฉังผิงก็สว่างขึ้น ไม่นานด้านนอกก็มีเสียงดังตามมา ชายชุดดำเห็นว่าทำอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงลอยตัวออกจากจวนไป หนานกงมั่วและจิ้นจั๋วเองก็ไม่ได้ตามออกไป ทำเพียงยืนมองพวกเขาหายไปในความมืด
“อู๋สยา…” องค์หญิงฉังผิงคลุมเสื้อคลุมตัวหนา รีบเดินมาโดยมีสาวใช้คอยประคอง ผู้ที่ติดตามอยู่ด้านข้างองค์หญิงคือองครักษ์จวนเยี่ยนอ๋อง เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงฉังผิง หนานกงมั่วจึงย้ายองครักษ์ส่วนใหญ่ไปยังเรือนทิศตะวันออก และออกคำสั่งกับพวกเขาไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นความปลอดภัยขององค์หญิงฉังผิงต้องมาก่อน