ตอนที่ 501 ขอหย่าสามี
“ท่านอ๋อง!” มองดูเซียวฉุนจะเดินจากไป เว่ยหงเฟยก็กังวลขึ้นมา “ท่านอ๋อง ท่านยังพูดไม่จบเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวฉุนถอนหายใจแล้วจึงเอ่ย “ข้าลืมไปแล้ว” พลางโบกมือ นำคนถอยออกไปจนหมด เว่ยจวินมั่วกล่าวได้ถูกต้อง เขาเป็นคนไร้ค่าจริงๆ เสียด้วย กับแค่ผู้หญิงยังรับมือไม่ได้แล้วจะมีประโยชน์อันใด
มองด้านหลังของเซียวฉุนแล้ว สีหน้าของเว่ยหงเฟยก็ดูไม่มั่นคงนัก ลังเลอยู่นานแล้วจึงหันไปมององค์หญิงฉังผิง “ฉังผิง ตอนนั้นมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
องค์หญิงฉังผิงกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าพูดไปแล้วว่าจวินเอ๋อร์ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับท่าน รอรับหนังสือหย่าของข้าเถิด”
“ไม่ได้ ข้าไม่ยอม!” เว่ยหงเฟยเอ่ย เขาไม่เคยคิดจะหย่าร้างกับองค์หญิงฉังผิงเลย
องค์หญิงฉังผิงยิ้มหยัน “หากท่านไม่ยอมรับหนังสือหย่า ก็รอรับหนังสือขอหย่าก็แล้วกัน”
หนังสือขอหย่า
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างตกตะลึง แม้แต่จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเองก็ไม่ได้สติอยู่นาน นับแต่สมัยโบราณ มีเพียงบุรุษเท่านั้นที่ขอหย่ากับภรรยา ไม่เคยได้ยินว่าสตรีขอหย่าสามี ไม่ว่าองค์หญิงจะเป็นที่โปรดปรานสักเพียงใดก็มีแต่ราชวงศ์เท่านั้นที่จะนำราชบุตรเขยไปรับผิดแล้วจึงสั่งให้ยุติความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ไม่มีกรณีที่องค์หญิงกล้าป่าวประกาศออกมาว่าขอหย่าขาดจากสามี
“ฉังผิง เจ้า…อย่าพูดเล่น” จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างระงับความโกรธ
องค์หญิงฉังผิงเพียงเหลือบมองเขา “นำพู่กัน กระดาษ และตราประทับของข้ามา”
“เพคะองค์หญิง” บ่าวเคียงกายองค์หญิงฉังผิงล้วนเป็นคนรู้ใจที่อยู่กับนางมานานหลายปี ซึ่งเชื่อฟังเพียงคำสั่งขององค์หญิงเท่านั้น หลังจากฟังคำสั่งขององค์หญิงฉังผิงแล้วก็จะรีบไปยังห้องหนังสือเพื่อหยิบกระดาษ พู่กัน และตราประทับโดยไม่ลังเล
“ฉังผิง!” ในที่สุดเว่ยหงเฟยก็เข้าใจว่าครั้งนี้องค์หญิงฉังผิงไม่ได้ล้อเล่นหรือโมโหเขาแต่กำลังเอาจริงต่างหาก เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดบ่าวรับใช้ที่ทำท่าจะไปตามคำสั่ง เว่ยจวินปั๋วและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างเว่ยหงเฟยต่างไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน หากเว่ยหงเฟยถูกองค์หญิงฉังผิงขอหย่าจริงๆ ไม่ว่าหนังสือขอหย่านี้จะมีผลหรือไม่ ถึงอย่างไรจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็คงกลายเป็นเรื่องตลกของเหล่าชนชั้นสูงในจินหลิงกันหมดแน่
น่าเสียดาย เว่ยหงเฟยเพิ่งขยับตัวเล็กน้อย ทว่าองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างมาตั้งนานก็เข้ามาขวางกั้นเขาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถูกขวางเอาไว้แล้ว มองไปยังใบหน้าไร้ความรู้สึกขององครักษ์ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเว่ยหงเฟยก็ทำได้เพียงมองดูบ่าวรับใช้รีบออกไปต่อหน้าต่อตา
เว่ยหงเฟยหันกลับมาแล้วจ้องไปที่เว่ยจวินมั่วด้วยอารมณ์โกรธเคือง “เจ้าทำเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร”
เว่ยจวินมั่วสีหน้าเฉยเมย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเอ่ยสิ่งใดกับเขา เว่ยจวินปั๋วมองดูคนเหล่านี้อย่างระแวดระวังและไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอันใดได้ เห็นเพียงว่าหากตัดสัมพันธ์กับองค์หญิงฉังผิงในตอนนี้ จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็ไม่ได้เสียหายอันใด และนับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเชื้อสายรองอย่างเขาด้วยซ้ำ แต่เมื่อมองดูให้ดีแล้ว ตราบใดที่เยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องยังคงอยู่ เว่ยจวินมั่วและองค์หญิงฉังผิงจะไม่มีวันลำบาก ซึ่งหากเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องต้องการสร้างปัญหาให้พวกเขา ก็คงเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวทีเดียว
หนานกงมั่วยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วจึงเอ่ยเบาๆ “ท่านอ๋อง อารมณ์ไม่ดีใส่ผู้อื่นมิใช่นิสัยพึงกระทำนะเพคะ”
“มารผจญจริงๆ!” ในที่สุดเว่ยหงเฟยก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยอย่างกัดฟัน
ไว้หน้าแล้วยังไม่สำนึก
หนานกงมั่วสีหน้าเข้มขึ้น ยกมือขึ้นทว่ายังไม่ทันทำอันใดก็เห็นเงาด้านข้างวูบหนึ่ง เว่ยหงเฟยส่งเสียงร้องและล้มลงไปไกลพอสมควร เว่ยจวินมั่วยืนอยู่เบื้องหน้า ก้มมองดูเว่ยหงเฟย นัยน์ตาสีม่วงของเขาเต็มไปด้วยความเฉยชาไม่ใส่ใจ เว่ยหงเฟยเงยหน้าขึ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น อดรู้สึกหนาวเหน็บในใจไม่ได้ถึงขั้นเอ่ยอันใดไม่ได้ไปชั่วครู่
นอกจากตอนที่เพิ่งเกิดแล้ว เว่ยหงเฟยไม่เคยมองเข้าไปในดวงตาของเว่ยจวินมั่วจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ดวงตาคู่นี้ไม่เพียงแสดงถึงความอัปยศอดสูของตนเท่านั้น ทว่ายังเป็นที่รู้จักในนามดวงตาปีศาจด้วย คำนินทาของเหล่าชาวเมืองจินหลิง ยามนี้เว่ยหงเฟยเข้าใจแล้วว่าเหตุไฉนเขาจึงได้รับฉายาเช่นนั้น เมื่อถูกจ้องเขม็งมองด้วยดวงตาคู่นั้น แรงกดดันกลับมีมากยิ่งกว่าเมื่อครั้งต้องเผชิญอารมณ์พิโรธของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับเสียอีก
เขาจะฆ่าข้าหรือ เว่ยหงเฟยอกสั่นขวัญแขวน เอ่ยออกมาอย่างแข็งกร้าว “เจ้ากล้าหรือ! กล้าหรือ…”
ทางด้านข้าง หนานกงมั่วเลิกคิ้วมองเว่ยจวินปั๋ว ส่งสายตาเป็นนัยน์ว่าบิดาเจ้าไม่ได้เป็นอันใดใช่หรือไม่ ต่อให้เว่ยจวินมั่วจะอาจหาญบุ่มบ่ามเพียงใด ก็ย่อมไม่ฆ่าจวิ้นอ๋องทั้งคนในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้แน่ อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นถึงบิดาในนามของเขามากว่ายี่สิบปีด้วย
เห็นได้ชัดว่าเว่ยจวินปั๋วรู้สึกว่าบิดาของเขาแสดงออกเกินไป ทำได้เพียงลูบจมูกตัวเองพลางก้าวไปด้านหน้าเพื่อช่วยพยุงเว่ยหงเฟย เอ่ยกระซิบ “เสด็จพ่อ…”
เว่ยหงเฟยรู้ดีว่าตัวเองยั้งสติไม่อยู่แล้ว เขาดันมาตัวสั่นหวาดกลัวอยู่ภายใต้สายตาของชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ เสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนผู้นี้คือเว่ยจวินมั่ว ความอัปยศอดสูที่ไม่อาจบรรยายได้ก็เข้าครอบงำทั้งร่างกายและจิตใจของเขาทันที
เว่ยจวินมั่วเหลือบมองเว่ยหงเฟยอย่างเย็นชา แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมรับว่าจงใจทำให้เว่ยหงเฟยหวาดกลัว ไม่ต้องเอ่ยว่าเว่ยหงเฟยขึ้นเป็นจวิ้นอ๋องได้ด้วยคุณงามความดีใหญ่หลวง น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ความดีความชอบของเขานั้นหากเปรียบกับหนานกงไหวและคนอื่นแล้วก็แทบไม่เห็นฝุ่น หากไม่ใช่เพราะได้แต่งงานกับองค์หญิงฉังผิง เขาคงถูกสังหารโดยเหล่าผู้ก่อตั้งประเทศเพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องนี้ไปแล้ว คนมากมายต่อสู้เสียเลือดเนื้อในสนามรบอย่างยากลำบาก คนที่ทุ่มเทมากที่สุดยังได้เพียงตำแหน่งกั๋วกง ส่วนเขาเพียงใช้ประโยชน์จากคนข้างกาย แต่งงานกับองค์หญิงก็ได้เป็นถึงจวิ้นอ๋องแล้ว และถึงแม้ว่าเว่ยจวินมั่วจะมีโอกาสลงสนามรบไม่มากนัก ทว่าจำนวนคนที่เขาสังหารน่าจะมากกว่าแม่ทัพเลื่องชื่ออย่างหนานกงไหวและคนอื่นอยู่ไม่ใช่น้อย ฝีมือสังหารนั้นย่อมเก่งกาจกว่าฝีมือของพวกหนานกงไหวเป็นร้อยเท่า เมื่อคนเช่นนี้ถูกปล่อยออกไปสังหารคน เพียงจิตสังหารเล็กน้อยก็มากพอที่จะทำให้เว่ยหงเฟยหวาดกลัวจนขาพับขาอ่อนได้แล้ว
“คราวหน้าหากมายุ่งกับมารดาอีก อย่าหาว่าไม่เกรงใจ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างเฉยเมย
ใบหน้าของเว่ยหงเฟยเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับม่วง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงชี้นิ้วไปยังเว่ยจวินมั่ว เอ่ยด้วยนิ้วอันสั่นเทา “นับแต่สมัยโบราณไม่มีสตรีใดที่ขอหย่ากับสามี ฉังผิงเป็นชายาของข้า เจ้าพูดอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร”
องค์หญิงฉังผิงยิ้มหยัน เอ่ย “ท่านพูดผิดแล้ว ต่อให้ไม่มีหนังสือขอหย่าสามี ท่านก็เป็นราชบุตรเขย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอท่านราชบุตรเขยโปรดให้เกียรติข้าด้วย ไล่บุตรและธิดาของอนุท่านออกไปเสีย อีกทั้งชายารองและอนุเหล่านั้นก็ให้ลดชั้นไปเป็นนางอุ่นเตียงให้หมด แล้วก็แม่เฒ่าในจวนของท่านผู้นั้นให้นางจงจำไว้ว่าต้องมาถวายพระพรข้าทุกเช้าค่ำ หากบกพร่องไปแม้แต่ข้อเดียว…ข้าจะไปร้องต่อฝ่าบาทในความผิดฐานไม่ให้เกียรติต้าจั่งกงจู่นั้นจะรับโทษอันใดบ้าง”
คิดหรือว่าเป็นราชบุตรเขยนั้นง่ายดาย คิดจริงๆ หรือว่าองค์หญิงในราชสำนักล้วนแต่เป็นคนที่ใครๆ รังแกได้ เว่ยหงเฟยเป็นราชบุตรเขยที่แต่งกับองค์หญิงฉังผิงก็จริง แต่มีวันใดที่เขาทำในสิ่งราชบุตรเขยพึงกระทำบ้าง เพียงแค่เห็นชีวิตราชบุตรเขยที่แต่งกับองค์หญิงหลิงอี๋ก็จะรู้ว่าองค์หญิงฉังผิงนั้นใจกว้างเพียงใด
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเพิ่งก่อตั้งอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ กฎระเบียบหลายข้อยังไม่เรียบร้อยดี ยิ่งกว่านั้นฮองเฮาพระองค์แรกยังเป็นสตรีที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและมีเมตตา นางอบรมสั่งสอนพระราชธิดาว่าควรมีคู่ครองที่รักใคร่ปรองดองกันและไม่ใช้ฐานะของตนไปกดขี่ผู้ใด เมื่อครั้งแต่งงานใหม่ๆ องค์หญิงฉังผิงยังรู้สึกว่าความรักตั้งแต่สมัยเด็กนั้นดีเหลือเกิน สามีภรรยาควรยอมบางเรื่องเพื่อความปรองดองกัน ใครจะรู้ได้ว่าบางคนก็ไม่สมควรได้รับการให้เกียรติ เพราะยิ่งยอมให้ก็ยิ่งได้คืบจะเอาศอก หากมิใช่เพราะภูมิหลังของเว่ยจวินมั่ว องค์หญิงฉังผิงคงไม่ยอมอดทนมานานหลายปีเช่นนี้ ยามนี้บุตรชายเติบใหญ่และปกป้องตัวเองได้แล้ว เสด็จพ่อเองก็จากไปแล้ว องค์หญิงฉังผิงจึงไม่รู้สึกว่านางจำเป็นต้องอดทนอีกต่อไป