ตอนที่ 512 หนานกงชวี่ลงมือ (1)
“นายท่านขอรับ…” พ่อบ้านเดินอยู่ข้างเขามีท่าทีลังเลที่จะเอ่ยบางอย่าง
“มีเรื่องอันใด” หนานกงไหวถามด้วยความรำคาญ พ่อบ้านจึงเอ่ย “เฉียวฮูหยินยังอยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ นายท่าน…” หนานกงไหวหยุดเดินแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ทำไมนางยังอยู่ที่ห้องหนังสือ” พ่อบ้านตกใจรีบเอ่ยตอบ “เมื่อวานเฉียวฮูหยินไม่สบาย คุณหนูเฉียวจึงให้ฮูหยินนอนที่ห้องหนังสือขอรับ แต่ว่าตอนนี้เฉียวฮูหยินยังไม่ตื่นเลยขอรับ…”
หนานกงไหวหันกลับไปแล้วรีบเดินไปทางห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
หน้าประตูห้องหนังสือ องครักษ์สองคนยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คือสาวใช้ของเฉียวเฟยเยียน “เกิดอันใดขึ้น”
สาวใช้แสดงความเคารพแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “เรียนนายท่าน ฮูหยินยังไม่ตื่น บ่าวไม่กล้าปลุกฮูหยินเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป เฉียวเฟยเยียนนอนหลับสนิทบนตั่งนุ่มในห้องโถงข้างนอก หนานกงไหวเดินเข้าไป มองดูใบหน้าหลับสนิทของเฉียวเฟยเยียนแล้วขมวดคิ้ว เขายื่นมือออกไปแตะหน้าผากนาง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทันใดนั้นหนานกงไหวก็ดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไปเปิดผ้าห่มของเฉียวเฟยเยียน มีกลิ่นคาวเลือดโชยเข้ามาปะทะใบหน้า ตั่งนุ่มที่เฉียวเฟยเยียนนอนอยู่เต็มไปด้วยเลือดสีแดง
“เยียนเอ๋อร์!” หนานกงไหวเอ่ยเรียก เฉียวเฟยเยียนขมวดคิ้ว ขยับหัวและค่อยๆ ลืมตาราวกับถูกปลุกให้ตื่น นางเอ่ยด้วยความมึนงง “ท่านพี่หนานกง…”
“เจ้าเป็นอันใด”
“ข้าเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เฉียวเฟยเยียนไม่เข้าใจ ยกมือขึ้นมาเกาคิ้วตัวเอง ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป จับหนานกงไหวแล้วเอ่ยว่า “อู่เอ๋อร์… อู่เอ๋อร์…”
“องครักษ์! เชิญท่านหมอมา!” หนานกงไหวเอ่ยเสียงดัง จับมือเฉียวเฟยเยียนแล้วจึงเอ่ย “เกิดอันใดขึ้น ค่อยๆ เอ่ย”
เฉียวเฟยเยียนก็ตกใจเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่านางรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ “อู่เอ๋อร์…อู่เอ๋อร์ทำให้ข้าสลบไปเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” หนานกงไหวขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงมองตั่งนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มองตามสายตาของเขา เฉียวเฟยเยียนก็เห็นคราบเลือดบนตั่งนุ่ม สีหน้าของนางซีดทันที “ลูก…ท่านพี่หนานกง ลูกของเรา…” หนานกงไหวกอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วปลอบใจอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวท่านหมอก็มาแล้ว”
เรื่องด้านในทำให้คนที่อยู่ด้านนอกตกใจไปด้วย องครักษ์ที่อยู่นอกประตูคุกเข่าลงกับพื้นไม่กล้าเอ่ยอันใด ถึงแม้เมื่อวานตอนที่เฉียวเฟยเยียนสลบไป พวกเขาไม่ได้เป็นคนเฝ้ายาม แต่ว่าตอนนี้นอกจากยอมรับผิดก็ทำอันใดไม่ได้ หนานกงไหวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ไปตามเฉียวเย่ว์อู่มา”
“ขอรับ”
จากนั้นไม่นาน คนที่ไปตามเฉียวเย่ว์อู่ก็กลับมา “เรียนนายท่าน คุณหนูเฉียว…หายตัวไปแล้วขอรับ”
สีหน้าของหนานกงไหวมืดมนลง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปห้องด้านใน เมื่อเขาเดินออกมา สีหน้าของเขาก็ทะมึนขึ้นกว่าเดิม “ไปตามหาเฉียวเย่ว์อู่มาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ต้องรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว แล้วอีกอย่าง…ปิดจวนค้นหาของให้ทั่ว”
พ่อบ้านอยากถามว่าค้นหาสิ่งใด แต่เมื่อเห็นสีหน้าดุร้ายของหนานกงไหว จึงกลืนคำเอ่ยนั้นลงไป จากนั้นก็รีบออกไปสั่งคนจัดการ
“ท่านพี่หนานกงเจ้าคะ…” เฉียวเฟยเยียนพิงตั่งนุ่มแล้วมองหนานกงไหวด้วยท่าทีน่าสงสาร แต่หนานกงไหวในตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์สนใจว่าเฉียวเฟยเยียนจะเป็นเช่นไร เขาขมวดคิ้ว มีความคิดมากมายผุดเข้ามาในหัว ใครกัน… ใครเป็นคนบอกให้เฉียวเย่ว์อู่แอบมาขโมยสิ่งของในห้องหนังสือ หนานกงชวี่หรือ ไม่ใช่ เขาไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเองเฝ้าดูเขาอยู่ตลอด ความสัมพันธ์ของเฉียวเย่ว์อู่และหนานกงชวี่ก็ไม่ได้สนิทสนมกัน เซียวฉุนหรือ นึกถึงคำเอ่ยเป็นนัยของหนานกงมั่วเมื่อสองสามวันก่อน หนานกงไหวมองเฉียวเฟยเยียนด้วยสายตาที่มีความสงสัย หรือว่าเป็น…
เห็นสายตาของหนานกงไหว เฉียวเฟยเยียนรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว นางร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่หนานกง ทำไม…ทำไมอู่เอ๋อร์ถึงทำกับข้าเช่นนี้ ฮือๆ…ลูกของเรา…”
ความเย็นชาในสายตาของหนานกงไหวจางหายไป ยื่นมือออกไปลูบนางแผ่วเบา เอ่ยว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็หานางเจอ”
“อืม” เฉียวเฟยเยียนพยักหน้าแล้วเอ่ยทั้งน้ำตา “ข้ารู้ว่าอู่เอ๋อร์เกลียดข้า แต่…ทำไมนางถึงไม่สนใจแม้แต่น้อยชายแท้ๆ ของตัวเอง…”
“อย่าร้องไห้ไปเลย อีกเดี๋ยวท่านหมอก็มา ข้าให้คนพาเจ้ากลับไปพักผ่อนดีกว่า” หนานกงไหวปลอบใจนางสองสามประโยค จากนั้นจึงเรียกสาวใช้วัยชราเข้ามาพาเฉียวเฟยเยียนกลับไปยังเรือนของนาง เฉียวเฟยเยียนมองดูหนานกงไหวสีหน้าทะมึน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใด สายตาของนางเป็นประกาย จากนั้นก็ปล่อยให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปอย่างรู้ความ
หนานกงไหวมองดูห้องหนังสืออันว่างเปล่า เขาเตะเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้ากระเด็นไปกระแทกกับผนัง แล้วตกลงมากลายเป็นเศษซาก
“เฉียวเย่ว์อู่!”
…
หนานกงมั่วรู้ข่าวที่สิ่งของหายไปจากจวนฉู่กั๋วกงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าในเรือนจี้ชั่งยังมีคนของหนานกงมั่วอยู่ หนานกงไหวสั่งให้คนค้นหาทั้งจวนฉู่กั๋วกง และแน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยเรือนของหนานกงมั่วที่มักจะขัดแย้งกับเขาอยู่เสมอไป แต่ไม่ว่าจะเป็นของที่เขาต้องการหาหรือว่าเฉียวเย่ว์อู่ ล้วนแต่หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
และข่าวที่เฉียวเฟยเยียนแท้งลูกก็ปิดไม่อยู่ ไม่ว่าจวนฉู่กั๋วกงจะวุ่นวายเพียงใด ใบหน้างดงามของหนานกงมั่วที่อยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง เมื่อได้รับข่าวแล้วก็มีความเคร่งขรึมขึ้น
“เป็นอันใดไป” เว่ยจวินมั่วยื่นมือออกไปแตะไหล่นาง เอ่ยถามแผ่วเบา
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ คิดเรื่องข่าวที่เพิ่งได้รับมาจากสำนักวังจื่อเซียวแล้วขมวดคิ้ว “ไม่รู้ว่าทำไม ข้าเป็นห่วง”
“เป็นห่วงใคร” เว่ยจวินมั่วเอ่ย “หนานกงชวี่หรือ”
หนานกงมั่วตกใจ นางเอ่ยอย่างเนือยๆ “คงจะใช่ ท่านคิดว่า…สิ่งของอันใดในจวนฉู่กั๋วกงที่หายไป แล้วยังมีเฉียวเย่ว์อู่…นางไปไหนกันแน่” รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหนานกงชวี่ ทว่าหนานกงชวี่บอกให้หนานกงฮุยออกมาอยู่ข้างนอก แล้วยังไล่เขาออกไปจากจินหลิง แม้กระทั่งน้องสาวอย่างนางเขาก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทำการใหญ่ หนานกงมั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรยุ่งเรื่องของหนานกงชวี่หรือไม่
เว่ยจวินมั่วแตะไหล่นางเบาๆ แล้วจึงเอ่ย “อยากทำอันใดก็ทำ ไม่ต้องห่วง”
หนานกงมั่วยิ้ม ยื่นมือออกไปจับมือเขาแล้วยิ้มบางๆ ส่งให้ “ข้ารู้ ขอบใจมาก” เอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา หนานกงมั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ย “ท่านคิดว่า เฉียวเย่ว์อู่ไปไหน” ผู้หญิงอ่อนแอที่ไม่มีวรยุทธ์จะหายตัวไปจากจวนฉู่กั๋วกงอย่างไร้ร่องรอยได้เช่นไร
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “หรือว่าเฉียวเย่ว์อู่ไม่ได้ไปไหน”
“หมายความว่าอย่างไร”
“เมื่อเช้าวานนี้ ชายาของหนานกงชวี่นำสิ่งของเข้าไปเยี่ยมหนานกงซูในวังหลวง” เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าหนานกงมั่วกลับฟังประเด็นสำคัญออก นำสิ่งของเข้าไป… หากอยากนำสิ่งของเข้าไปในวังหลวงย่อมมิใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านด่านตรวจแต่ละด่าน แต่ว่าหากมีคนจัดการให้ จะนำคนบรรจุลงในกล่องแล้วพาเข้าไปในวังหลวงก็มิใช่เรื่องยาก คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้มีเพียงไม่กี่คน ทั้งวังหลวง นอกจากเซียวฉุนแล้วก็มีเพียงเซียวเชียนเยี่ยเท่านั้นที่สามารถส่งของเข้าออกวังหลวงได้