ตอนที่ 513 หนานกงชวี่ลงมือ (2)
หนานกงมั่วตกใจ “ท่านหมายความว่า พี่ใหญ่กำลังร่วมมือกับเซียวเชียนเยี่ยเช่นนั้นหรือ”
“หรือไม่ก็ ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย” เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่แปลกใจกับการที่หนานกงไหวสองพ่อลูก คนหนึ่งอยู่ข้างเซียวฉุน อีกคนอยู่ข้างเซียวเชียนเยี่ย “หนานกงชวี่ไม่ใช่คนของเซียวเชียนเยี่ย คงจะ…เพียงร่วมมือกับเซียวเชียนเยี่ย… “
เดิมทีหนานกงชวี่ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งๆ ในเมืองจินหลิง ในเมื่อเขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วยังร่วมมือกับเซียวเชียนเยี่ย เช่นนั้นคนที่เขาต้องการจัดการ…ก็คือหนานกงไหว
“หนานกงชวี่หลอกใช้เฉียวเย่ว์อู่ขโมยสิ่งของที่มีผลกระทบต่อหนานกงไหว แต่ว่า…ตอนนี้หนานกงไหว อาจยังไม่รู้ว่าใครคือศัตรูของตัวเอง” เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างเฉยเมย ถึงแม้จะรู้ว่าหนานกงชวี่ไม่พอใจตัวเอง แต่หนานกงไหวก็คงคิดไม่ถึงว่าลูกชายคนโตของตัวเองจะต้องการให้ตัวเองตาย
“พี่ใหญ่ได้สิ่งใดไปกันแน่” หนานกงมั่วเอ่ยเบาๆ หนานกงชวี่ไม่ได้เย็นชากับคนเป็นพ่อตัวเองอย่างหนานกงไหวเท่าหนานกงมั่ว พวกเขาอยู่ร่วมกันมายี่สิบกว่าปี ความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขาไม่มีทางเป็นเรื่องเท็จ แต่เหตุผลที่ทำให้หนานกงชวี่ยอมร่วมมือกับเซียวเชียนเยี่ยเพื่อโจมตีหนานกงไหว คือสิ่งใดกันแน่
“หากอยากรู้ ก็ไปดูด้วยกันเถิด”
หนานกงมั่วพยักหน้าเงียบๆ
ในจวนฉู่กั๋วกง หนานกงไหวสีหน้าทะมึนราวกับหมึกดำ บ่าวรับใช้ที่ถูกเขากวาดตามองล้วนแต่อดหวาดกลัวไม่ได้ แอบภาวนาขอให้นายท่านอย่าระบายความโมโหลงกับตัวเอง
“เช่นนั้นก็หมายความว่า พวกเจ้าไม่เพียงแต่หาคนหรือสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งในและนอกจวนไม่เจอ แม้แต่ร่องรอยการหายตัวไปของเฉียวเย่ว์อู่ก็ไม่มีเบาะแสใดเลยเช่นนั้นหรือ” หนานกงไหวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พ่อบ้านเดินเข้ามาอย่างหวาดกลัวแล้วจึงเอ่ยว่า “เรียนนายท่าน พวกบ่าวค้นหาทั่วทั้งจวนฉู่กั๋วกงแล้ว ไม่เจอคนที่น่าสงสัยเลยขอรับ” สิ่งสำคัญคือนายท่านไม่ได้บอกว่าให้พวกเขาหาสิ่งของอันใด บอกเพียงว่ามันคือกล่องไม้จันทน์สีเขียว ฟ้าดินรู้ดีว่าพวกเขาค้นดูสิ่งของทุกสิ่งที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับไม้จันทน์สีเขียว สำหรับเฉียวเย่ว์อู่ คนคนหนึ่งหายตัวไปในจวนฉู่กั๋วกง ไม่มีใครเห็นนางออกไปจากจินหลิงแล้วก็ไม่มีใครเห็นนางปรากฏตัวในเมืองจินหลิง เช่นนั้นก็หมายความว่านางถูกคนมีอำนาจซ่อนตัวไว้ เมืองจินหลิงจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะซ่อนคนคนหนึ่งมิใช่เรื่องยาก เพราะมีสถานที่หลายแห่งที่พวกเขาไปค้นหาตามอำเภอใจไม่ได้
“ไสหัวไปให้พ้น!” หนานกงไหวเอ่ยอย่างหมดความอดทน
ทุกคนแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รีบพากันออกไป
“ช้าก่อน”
พ่อบ้านที่เดินอยู่ข้างหลังสุดได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง สีหน้าของเขาแข็งทื่อ ค่อยๆ หันกลับมาอย่างระมัดระวัง หนานกงไหวจ้องมองเขาอยู่นาน จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “ช่วงนี้ชวี่เอ๋อร์ทำอันใด”
พ่อบ้านถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเอ่ย “เรียนนายท่าน คุณชายใหญ่นอกจากจะไปเข้าเวรที่หยาเหมินตามปกติแล้ว ก็อ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ ไม่ได้ออกไปไหนขอรับ”
หนานกงไหวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยความสงสัย “ไม่ได้ออกไปไหนหรือ”
“นายท่านก็ทราบว่าคุณชายใหญ่ไม่ค่อยมีสหาย นอกจากออกไปสังสรรค์บ้างเป็นครั้งคราว เวลาส่วนก็เพียงอยู่ในจวน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณชายรองก็ออกไปจากเมืองหลวงแล้ว คุณหนูใหญ่ก็…” คุณหนูใหญ่ก็ห่างเหินกับครอบครัว ถึงแม้คุณชายใหญ่อยากไปหาน้องสาว ก็คงต้องดูว่าน้องสาวอยากเจอพี่ชายคนนี้หรือไม่
หนานกงไหวไม่สนใจ จากนั้นจึงเอ่ย “เฉียวเชียนหนิงล่ะ”
“คุณชายเฉียวออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้งขอรับ แต่ว่าไปที่ไหน…บ่าวก็ไม่ทราบ” พ่อบ้านเอ่ย
หนานกงไหวเอ่ย “บอกให้เขาอยู่ที่จวนห้ามออกไปไหน ไม่สิ หากเขาออกไปข้างนอก ส่งคนคอยจับตาดูเขา” พ่อบ้านตกใจ ถึงแม้จะไม่เข้าใจเจตนาของหนานกงไหว ทว่านายท่านสั่งเช่นนี้เขาก็จำต้องทำตาม “ขอรับนายท่าน”
“เฟยเยียนเป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงไหวเอ่ยถาม
พ่อบ้านเอ่ยตอบเสียงเบาลง “เฉียวฮูหยินเสียใจมากขอรับ เอาแต่ร้องไห้อยู่ในเรือน บ่าวส่งสาวใช้ไปปลอบใจ…ท่านหมอบอกว่า…เฉียวฮูหยินเคยแท้งลูกมาแล้วหลายครั้ง เด็กคนนี้เดิมทีก็รักษาไว้ได้ยากขอรับ ถึงแม้จะแท้งลูกตอนนี้ แต่มีอันตรายต่อร่างกายน้อยกว่าปล่อยให้ผ่านไปสองเดือนแล้วค่อยแท้ง เสียใจด้วยขอรับนายท่าน”
หนานกงไหวตกใจ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเฉียวเฟยเยียนเคยเป็นพระชายาจวิ้นอ๋องมานานกว่าสิบปี เคยมีลูกมิใช่เรื่องแปลก ในใจของเขามีเรื่องราวมากมาย จึงไม่สนใจเรื่องนี้ โบกปัดมือบอกให้พ่อบ้านออกไป
เหลือตัวเองอยู่เพียงลำพังแล้ว หนานกงไหวก็เดินไปเดินมาในห้องไม่หยุด ราวกับสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในกรง เฉียวเฟยเยียนแท้งลูก เฉียวเย่ว์อู่หายตัวไปเขาไม่สนใจก็ได้ แต่ว่า…สิ่งของที่เฉียวเย่ว์อู่นำออกไปจากห้องหนังสือ… ใครเป็นคนบอกให้นางทำเช่นนี้กันแน่ เซียวเชียนเยี่ยหรือ ไม่ใช่ เซียวเชียนเยี่ยไม่มีทางรู้เรื่องนี้ เซียวฉุน… เซียวฉุนกลัวว่าเขาจะหักหลัง จึงต้องการหลักฐานเอาไว้ควบคุมเขาเช่นนั้นหรือ เซียวฉุน อย่าให้ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าจริงๆ
นึกถึงของข้างในนั้นแล้ว หนานกงไหวยิ่งไม่สบายใจ ได้แต่ภาวนาให้เซียวฉุนเป็นคนนำไปจริงๆ เพราะอย่างน้อยหากเซียวฉุนต้องการควบคุมเขา ก็ไม่มีทางเปิดดูสิ่งของข้างในทันที แต่หากไม่ใช่เขา… เช่นนั้นจะเป็นใคร…
“เรียนนายท่าน ผู้สำเร็จราชการแทนเชิญท่านไปพบขอรับ” นอกประตู องครักษ์เอ่ยอย่างนอบน้อม
หนานกงไหวยิ้มหยัน จากนั้นก็ทำสีหน้าปกติแล้วเอ่ยเบาๆ “รู้แล้ว”
หนานกงไหวเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกมาจากห้องหนังสือแล้วเดินออกไปจากจวน เมื่อเดินมาถึงเรือนด้านหน้าก็เจอเข้ากับหนานกงชวี่ที่เดินเข้ามา สีหน้าของหนานกงชวี่เรียบเฉย เห็นหนานกงไหวก็หยุดเดิน ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเรียก “ท่านพ่อ” ด้วยความเคารพ
ตอนนี้หนานกงไหวไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น เห็นลูกชายคนโตที่สุขุมจนทำให้คนเดาความคิดไม่ออกก็มักจะรู้สึกว่าหนานกงชวี่มีเจตนาร้ายแอบแฝง เขายิ้มหยันแล้วจึงเอ่ย “ไปไหนมา” หนานกงชวี่เอ่ยตอบอย่างเฉยเมย “เรียนท่านพ่อ เพิ่งกลับมาจากหยาเหมินขอรับ” หนานกงไหวมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ไม่มีอันใดทำก็อยู่ที่จวนเสีย” แล้วเดินออกไป
ทางด้านหลัง หนานกงชวี่หันไปมองแผ่นหลังของหนานกงไหวที่เดินห่างออกไปไกลแล้ว สายตาของเขาทะมึนขึ้น
“คุณชายขอรับ”
หนานกงชวี่หันกลับมาเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “ฮุยเอ๋อร์กับมั่วเอ๋อร์เป็นเช่นไร”
องครักษ์ชุดสีเทาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “คุณชายรองกับฮูหยินรอง ตอนนี้ตามแม่ทัพกุยฮว่าไปถึงชายแดนแล้วขอรับ ส่วนคุณหนูใหญ่กับท่านเขย ช่วงนี้อยู่ที่จวนตลอด ดูเหมือนกำลังเตรียมเรื่องออกไปจากเมืองจินหลิง คงไม่สนใจเรื่องในเมืองจินหลิงขอรับ”
หนานกงชวี่พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ดีมาก”
องครักษ์เอ่ยอีกครั้ง “มีข่าวมาจากคุณหนูรอง บอกว่า…ฝ่าบาทจะลงมือคืนนี้ขอรับ”
หนานกงชวี่ยิ้มหยันแล้วจึงเอ่ย “ดูเหมือนจะรอไม่ไหวแล้ว อีกเดี๋ยวก็นำสิ่งของพวกนั้นไปให้ฮุยเอ๋อร์กับมั่วเอ๋อร์คนละครึ่งด้วย”
องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็พยักหน้า เอ่ย “ขอรับคุณชายใหญ่”