ตอนที่ 509 โหมโรง (2)
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นแล้วจึงเอ่ย “สองวันนี้เซียวเชียนเยี่ยมีการเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่”
“การเปลี่ยนแปลงหรือ” ลิ่นฉังเฟิงครุ่นคิด เอ่ย “เอ่อใช่ ดูเหมือนว่าสองวันนี้หนานกงซูจะเริ่มเป็นที่โปรดปรานแล้ว”
หนานกงมั่วนึกถึงเรื่องครั้งก่อนที่นางเจอกับหนานกงซู หนานกงซูขอให้นางนำข่าวไปบอกหนานกงชวี่ เรื่องราวหลังจากนั้นนางก็ไม่ได้สนใจ ไม่รู้ว่าหนานกงซูกับหนานกงชวี่จะทำอันใดกันแน่ นางตบลงบนโต๊ะเบาๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “จวนฉู่กั๋วกงอยู่ข้างใคร เกรงว่ายังไม่ชัดเจน”
“หมายความเช่นไร” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยความสงสัย เพียงดูก็รู้ว่าระหว่างเซียวฉุนกับเซียวเชียนเยี่ยใครมีโอกาสชนะมากกว่ากัน ต่อให้เซียวฉุนจะชนะเซียวเชียนเยี่ย เขาก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด นอกจากผู้ที่ถูกลากขึ้นเรือแล้วไม่สามารถลงไปได้ เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าขึ้นเรือของเซียวฉุน
หนานกงมั่วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ความสัมพันธ์ของเซียวฉุนกับเฉียวเฟยเยียนไม่ธรรมดา เมื่อก่อนข้าเคยเตือนท่านพ่อ หากเขายืนหยัดที่จะอยู่ข้างเซียวเชียนเยี่ย อย่างน้อยก็ต้องอยู่ให้ห่างจากเฉียวเฟยเยียน” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “ หรือว่าเขาอยากอยู่ทั้งสองฝั่ง ดูว่าใครเป็นฝ่ายชนะแล้วค่อยตัดสินใจ”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปไม่ว่าใครชนะก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา”
“เจ้าหมายความว่าหนานกงไหวอยู่ข้างเซียวฉุนจริงๆ เช่นนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยความตกใจ หนานกงไหวเป็นถึงฉู่กั๋วกง มีอำนาจมากมาย แล้วยังมีลูกสาวเป็นถึงกุ้ยเฟย เอ่ยได้ว่าเป็นขุนนางที่สูงส่งที่สุดแล้ว อยู่ข้างขุนนางกบฏอย่างเซียวฉุนจะมีอนาคตที่ดีได้เช่นไร
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจพลางเอ่ย “นอกเสียจาก…เซียวฉุนมีจุดอ่อนของหนานกงไหวอยู่ในมือ”
ทุกคนนิ่งเงียบ ผ่านไปอยู่นาน ลิ่นฉังเฟิงถึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “เซียวฉุนผู้นี้…ชั่วร้ายจริงๆ” จับจุดอ่อนของเซียวเชียนเยี่ยให้เขามาอยู่บนเรือลำเดียวกับตัวเอง ยามนี้ก็จับจุดอ่อนของหนานกงไหว บังคับให้เขาช่วยตัวเองรับมือกับเซียวเชียนเยี่ย หากเซียวเชียนเยี่ยรู้ว่าหนานกงไหวที่เดิมทีจงรักภักดีต่อตัวเองหันไปเข้าข้างเซียวฉุน ไม่รู้ว่าเขาจะมีสีหน้าเช่นไร
หนานกงมั่วยิ้มบางแล้วจึงเอ่ย “หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาจะกระโดดจากจวิ้นอ๋องไปเป็นผู้สำเร็จราชการแทนได้เยี่ยงไร”
“กล่าวได้ถูกต้อง”
เว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้นมองลิ่นฉังเฟิง เอ่ย “ส่งคนไปจับตาดู อย่าให้เซียวฉุนฆ่าเซียวเชียนเยี่ยเด็ดขาด”
“เจ้าเกลียดเซียวเชียนเยี่ยมิใช่หรือ” ลิ่นฉังเฟิงไม่เข้าใจ
เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ข้าบอกแล้วว่ายามนี้อาณาจักรเซี่ยจะวุ่นวายไม่ได้”
ดินแดนทางตอนเหนือไม่มั่นคง หากตอนนี้อาณาจักรเซี่ยเกิดความวุ่นวาย ชาวเป่ยหยวนทางตอนเหนืออาจบุกกลับมา และถึงตอนนั้นผู้ที่จะรับภาระหนักก็คือกองกำลังรักษาชายแดนทางตอนเหนืออย่างกองกำลังทหารเหล็กโยวโจวและกองกำลังไท่หนิงสีโจว
ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่อย่างเข้าใจแล้ว
มีเสียงโกลาหลจากถนนด้านล่างดังขึ้นมา เซียวเชียนจย่งนั่งไม่ติด ยืนขึ้นแล้ววิ่งออกไปเอ่ยถามด้วยความสงสัย “หา ใครกันหยิ่งยโสเช่นนี้” ได้ยินเช่นนี้ คนอื่นๆ จึงลุกขึ้นไปดูที่หน้าต่าง เห็นกองทัพคนกับม้าเดินเข้ามาบนถนนอย่างยิ่งใหญ่ ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้วแล้วจึงเอ่ย “นั่นมันคนของกองบัญชาการรักษาพระองค์ของเซียวเชียนเยี่ยไม่ใช่หรือ”
เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงมอง เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าผู้ช่วยของเซียวเชียนเยี่ยจะกลับมาแล้ว”
“หา” ทุกคนหันมามองอย่างพร้อมเพรียง “เซียวเชียนเยี่ยมีผู้ช่วยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเซียวฉุนก็ซวยแล้ว”
เว่ยจวินมั่วหัวเราะหยัน “คนเหล่านี้มิใช่ปัญหาของเซียวฉุน แต่เป็นปัญหาของพวกเรา”
หนานกงมั่วเข้าใจได้ทันที “บรรดาขุนนางที่ถูกปลดตำแหน่งแล้วขับไล่ออกจากเมืองหลวงโดยอดีตฮ่องเต้เช่นนั้นหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “บรรดานักปราชญ์เหล่านี้ชอบยุ่งเรื่องของราชสำนัก แล้วยังอยากเข้าไปยุ่งเรื่องของรัชทายาท ยามนั้นอดีตฮ่องเต้ขับไล่ราชครูสองสามคนของรัชทายาทกับเซียวเชียนเยี่ยออกไปจากเมืองหลวง หากมิใช่เพราะเช่นนี้ เซียวเชียนเยี่ยสับสนขึ้นมาก็ยังคงมีคนคอยแนะนำ”
ลิ่นฉังเฟิงไม่สนใจ “ถึงแม้บรรดาผู้เฒ่าเหล่านั้นจะอยู่ที่นั่น เกรงว่าก็คงไม่มีอันใดดีไปกว่านี้ ผู้เฒ่าเหล่านั้นทำตัวเป็นนักปราชญ์ ราวกับตัวเองชาญฉลาด สิ่งใดก็ไม่เข้าใจแล้วยังชอบเข้ามาเกี่ยวข้อง”
เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยความสงสัย “ทำไมท่านถึงบอกว่าผู้เฒ่าเหล่านี้เป็นปัญหาของพวกเรา”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบเบาๆ “เซียวเชียนเยี่ยกับเซียวฉุนจะตัดสินผู้ชนะและผู้แพ้ในไม่ช้า ตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังถอดหน้ากากออก ความจริงกำลังจะปรากฏ คนเหล่านี้ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย พวกเขา…มารับมือกับตระกูลขุนนางและตระกูลผู้ปกครองเมือง แต่ว่าระหว่างตระกูลขุนนางและตระกูลผู้ปกครองเมือง พวกเขาต้องเลือกตระกูลผู้ปกครองเมืองก่อน”
สีหน้าของสามพี่น้องตระกูลเซียวเปลี่ยนไป เซียวเชียนชื่อเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เช่นนั้นพวกเรา…”
“เตรียมออกไปจากเมืองจินหลิง ตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยไม่มีทางแตะต้องพวกเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รั้งพวกเจ้าอยู่ที่เมืองจินหลิง” เว่ยจวินมั่วเอ่ย
“ขอรับ” พวกเขาสามคนตอบรับพร้อมกัน
ในห้องทรงอักษร ได้ยินเสียงรายงานของขันทีข้างนอก เซียวเชียนเยี่ยก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์…”
เหล่าขุนนางที่สวมชุดเครื่องแบบขุนนางขั้นสี่ ขั้นห้า อายุก็ไม่น้อยเดินเข้ามา ผู้ที่เดินเข้ามาคนแรกมีผมสีขาว รูปร่างผอมบาง เห็นเซียวเชียนเยี่ยก็รีบเดินเข้ามาโค้งคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวเชียนเยี่ยรีบพยุงเขาขึ้นมา จากนั้นจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมา ลำบากพวกท่านแล้ว”
ผู้เฒ่าได้ยินเช่นนี้ก็ร้องไห้ “คิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้ยังจะได้พบฝ่าบาทอีกครั้ง กระหม่อมตายไปก็คุ้มค่าพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยรีบเอ่ย “ท่านอาจารย์อย่าเอ่ยเช่นนี้ เรายังต้องการความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ทั้งหลาย”
ผู้เฒ่าคนนี้คืออาจารย์ที่รัชทายาทเชิญมาสั่งสอนเซียวเชียนเยี่ยโดยเฉพาะ มีนามว่าโจวเซียง ชื่อทางการคือเหวินเหิง เป็นนักปราชญ์แห่งเจียงหนาน สั่งสอนเซียวเชียนเยี่ยตั้งแต่อายุได้หกขวบ จนกระทั่งเขาอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี โจวเซียงก็ถูกเนรเทศไปยังเหมียนโจว อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปี ความสัมพันธ์อาจารย์กับลูกศิษย์นั้นช่างลึกซึ้ง แล้วอีกอย่างยังมีหันหมิ่น ชื่อทางการคือฉงเต๋อ เคยเป็นราชครูของรัชทายาท ถูกอดีตฮ่องเต้ขับไล่ออกไปจากเมืองจินหลิงเช่นกัน อดีตฮ่องเต้ไม่ชอบนักปราชญ์ แต่รัชทายาทกับหวงจั่งซุนกลับได้รับการสั่งสอนจากนักปราชญ์ พวกเขาเคารพท่านอาจารย์เหล่านี้มาก อดีตฮ่องเต้เห็นอิทธิพลของคนเหล่านี้ที่มีต่อรัชทายาทกับหวงจั่งซุน จึงหาความผิดแล้วย้ายคนเหล่านั้นออกไปจากจินหลิง
ทุกคนเข้ามาในห้องทรงอักษร เซียวเชียนเยี่ยบอกให้พวกเขานั่งลงโดยไม่มีท่าทีของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาล้วนซาบซึ้ง นั่งลงแล้ว เซียวเชียนเยี่ยจึงเอ่ย “ไม่พบกันนานหลายปี พวกท่านสบายดีหรือไม่”
หันหมิ่นเอ่ยทั้งน้ำตา “ขอบพระทัยในความห่วงใยของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสบายดี แต่น่าเสียดาย…การจากลาในตอนนั้น คือการจากลารัชทายาทไปตลอดชีวิต…”
เอ่ยถึงรัชทายาท สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยแข็งทื่อ ทว่าพวกเขาที่กำลังเสียใจกลับไม่ทันสังเกต โจวเซียงเอ่ย “ระยะนี้ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยยิ้มขื่นออกมาแล้วจึงเอ่ย “เราไม่ค่อยมีความสามารถ เสด็จปู่รักเรา มอบอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ให้เราเป็นผู้ดูแล แต่ตอนนี้กลับ…เราไร้ความสามารถเอง”
“อดีตฮ่องเต้มอบประเทศชาติให้ฝ่าบาท ก็เพราะเชื่อในความสามารถของฝ่าบาท ฝ่าบาทจะดูหมิ่นตัวเองได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ เรื่องของผู้สำเร็จราชการแทน กระหม่อมก็เคยได้ยินมาบ้าง ฝ่าบาทยังหนุ่มแน่นและมีความสามารถ เหตุใดจึงไม่ออกบริหารราชการแผ่นดินด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ” หันหมิ่นเอ่ย คนอื่นๆ ล้วนเห็นด้วย พวกเขาอายุมากแล้ว เป็นนักปราชญ์มาแล้วครึ่งชีวิต กฎทั้งสาม มรรคทั้งห้า จะยอมรับขุนนางกบฏที่ต้องการครอบครองประเทศชาติ รังแกฮ่องเต้เช่นเซียวฉุนได้อย่างไร