ตอนที่ 535 พวกเขาดูไม่สบายนัก ข้าก็สบายใจแล้ว (2)
แน่นอนว่าข้าแย่งมาได้ เฉียวเฟยเยียนเกือบจะเอ่ยออกไป แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาเยือกเย็นของหนานกงมั่ว กลับพูดสิ่งใดไม่ออก นางแย่งมาได้แล้วจริงๆ หรือ เมิ่งซื่อตายไปแล้วไม่ผิด แต่เมื่อยังมีชีวิตนั้นนางถูกเอาอกเอาใจ เมื่อจากไปแล้วก็ยังคงเป็นฮูหยินกั๋วกงที่เชิดหน้าชูตา แม้แต่ตอนที่นางยังมีชีวิต ต่อให้หนานกงไหวบอกว่าโกรธเกลียดตระกูลหนานกงต่อหน้านางเพียงใด ทว่ากลับไม่เคยละเลยเมิ่งซื่อเลยแม้แต่น้อย ส่วนเจิ้งซื่อ…เกรงว่าคงไม่เคยอยู่ในสายตาของเมิ่งซื่อเลยด้วยซ้ำ เฉียวเฟยเยียนรู้จักญาติผู้พี่ของตนเป็นอย่างดี ตอนนั้นเมิ่งซื่อล่าถอยกลับไปอยู่ในเรือนจี้ชั่ง บอกว่าเพราะหนานกงไหวพาเจิ้งซื่อกลับมารักอนุทำลายภรรยาเอก แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะเมิ่งซื่อปล่อยวางจากหนานกงไหวด้วยตนเอง หากนางคิดจะทำอันใด ต่อให้มีเจิ้งซื่อนับสิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเมิ่งซื่อ
หันกลับมามองตนเอง เฉียวเฟยเยียนก้มหน้าลงไปมองเสื้อผ้าสกปรกเลอะเทอะของตนเอง บุตรีโกรธนางเข้ากระดูก บุตรชายกลับไม่สนิทสนมกับนางเหมือนดังที่เคยเป็นมา ส่วนหนานกงไหวนับตั้งแต่เมื่อคืนก็ทอดทิ้งนางอย่างไม่ไยดี ตนเองในยามนี้ นอกจากมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าเมิ่งซื่อแล้ว นางชนะแล้วจริงๆ หรือ
หนานกงมั่วมองเฉียวเฟยเยียน เอ่ยเสียงเรียบ “ตอนแรก…ข้าเคยสาบานว่าเมื่อใดที่ข้าเจอคนที่ทำร้ายข้า จะต้องทำให้คนผู้นั้นตายทั้งเป็น แต่ตอนนี้…ข้าคิดว่าเจ้าใกล้จะเข้าใจแล้วล่ะว่าตายทั้งเป็นนั้นเป็นเยี่ยงไร ข้าคงไม่ทำอันใดกับเจ้าอีก”
หนานกงมั่วลอบพ่นลมหายใจ มองท่าทีของเฉียวเฟยเยียนแล้วนางก็นึกขบขันอยู่ในใจ ความจริงทางออกที่ดีที่สุดของเฉียวเฟยเยียนก็คือการปล่อยให้ตายไปเช่นนี้ มิเช่นนั้น ด้วยความรังเกียจจากเซียวเชียนเยี่ยและเหล่าปัญญาชนพวกนั้นที่มีต่อเฉียวเฟยเยียน ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือให้นางไปใช้ชีวิตตกระกำลำบากอยู่ที่ชายแดน เฉียวฮูหยินที่ถูกดูแลปรนนิบัติมากว่าครึ่งชีวิตคงไม่อยากรู้ว่าสตรีที่ถูกส่งไปยังชายแดนจะมีชีวิตเช่นไร
มอง ‘ครอบครัว’ ที่อยู่ในห้องขัง หนานกงมั่วรู้สึกไม่น่าสนใจ จึงหันกลับมาเอ่ยกับหนานกงชวี่ “พี่ใหญ่ ข้าขอตัวกลับก่อนแล้ว อีกสองวันจะมารับท่าน”
หนานกงชวี่ส่ายศีรษะ เอ่ย “ไม่ต้องมาอีกแล้ว ฝ่าบาทคงมีเมตตาต่อข้า มั่วเอ๋อร์ อีกสองวันก็เป็นวันครบรอบวันตายของท่านแม่แล้ว คัมภีร์บทสวดที่ข้าวางเอาไว้ที่วัดต้ากวงหมิงยังไม่ทันเอากลับคืนมา เจ้าไปเอามาเผาต่อหน้าหลุมศพของท่านแม่เถิด”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว หนานกงชวี่มองนางนิ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “จำเอาไว้ อย่าได้รอช้าในวันครบรอบวันตายของท่านแม่”
หนานกงมั่วถอนหายใจอยู่ภายใน พยักหน้าเบาๆ เอ่ย “ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่ ดูแลตัวเองด้วยเจ้าค่ะ”
หนานกงชวี่พยักหน้าเบาๆ หลับตาลงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
หนานกงมั่วหันตัวเตรียมเดินออกไป ด้านหลังพลันมีเสียงแข็งเย็นชาของหนานกงไหวส่งมา “หยุด”
หนานกงมั่วหันกลับไป หนานกงไหวเอ่ย “เจ้าจะไปอย่างนี้หรือ” คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น หันกลับมาย่อตัวทำความเคารพเขาเล็กน้อย “ท่านพ่อ ลูกขอตัวลาแล้วเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวโกรธจนหน้าเขียวปั๊ด กัดฟันเอ่ย “ช่วยข้าออกไป ข้าเป็นบิดาของเจ้านะ”
ท่าทางที่เป็นไปโดยธรรมชาติของหนานกงไหวทำให้หนานกงมั่วรู้สึกว่าช่างน่าขัน หนานกงมั่วมองสำรวจเขาอยู่ชั่วครู่ เอ่ยถาม “ท่านพ่อ นี่ท่าน…กลัวตายหรือเจ้าคะ” หนานกงไหวสีหน้านิ่งงัน จ้องสตรีที่ยังคงยิ้มร่าอยู่ตรงหน้า ยังไม่ทันตะโกนออกมา พลันได้ยินน้ำเสียงเย็นจากหนานกงมั่วที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “ท่านควรดีใจที่ท่านยังเป็นบิดาของข้า มิเช่นนั้น…”
มิเช่นนั้นอันใด หนานกงมั่วไม่ได้เอ่ยต่อ แต่หนานกงไหวพลันเข้าใจทันที เขารู้ว่าหนานกงมั่วมีวรยุทธ์อีกทั้งยังเคยผ่านสนามรบ อีกทั้งท่าทีที่หนานกงมั่วแสดงออกมาอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อครู่นั้นก็ทำให้หนานกงไหวได้เข้าใจ ที่แท้เขาไม่เคยดูบุตรีผู้นี้ออกเลย ไอสังหารที่ออกมาจากตัวหนานกงมั่ว ไม่ใช่เพียงเคยฆ่าคนหรือไม่กลัวที่จะฆ่าคนอย่างแน่นอน มีไอสังหารเช่นนี้ได้ แน่นอนว่ามือต้องผ่านชีวิตคนมาไม่น้อย แม้แต่หนานกงไหวเองยังไม่กล้ารับรองเลยว่าตนเองจะสู้นางได้ อย่างไรก็ตามการสังหารคนในสงครามและการสังหารคนของมือสังหารนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ดูเหมือนท่านพ่อคงไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยอีกแล้ว” หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ต่อไปคงไม่มีโอกาสพบท่านพ่ออีกแล้ว ท่านพ่อดูแลตนเองด้วย”
เอ่ยจบ หนานกงมั่วก็หันตัวเดินมุ่งหน้าออกไปด้านหน้าประตูห้องขัง ด้านหลังมีเสียงด่าทอของหนานกงไหวดังตามมา ทว่ากลับไม่ส่งผลใดๆ ต่อการก้าวเดินของนางเลยแม้เพียงนิด
ประตูห้องขังถูกเปิดออกและปิดลงอีกครั้ง ห้องขังกว้างมีเพียงเสียงตะโกนด่าทอของหนานกงไหว
“พอแล้ว ต่อให้ท่านด่าจนคอแตกนางก็ไม่มีทางช่วยท่านหรอก” เฉียวเฟยเยียนที่พิงอยู่กับราวห้องขังทนไม่ไหวเอ่ยเสียงแหลมดังใส่หนานกงไหว
มองหนานกงไหวในสภาพนี้ เฉียวเฟยเยียนเกิดความรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา นาง…ทะเลาะกับตระกูลเมิ่ง…ก็เพราะชายผู้นี้หรือ เพื่อบุรุษเช่นนี้ นางไม่เคยเปิดตามองสามีที่อยู่เคียงคู่มากว่าสิบปี เพื่อชายผู้นี้ นางล่วงเกินหนานกงชวี่และหนานกงมั่วปีศาจชั่วร้ายทั้งสอง แต่ตอนนี้…หนานกงไหวที่อยู่ตรงหน้าไหนเลยจะมีความหล่อเหลาและกล้าหาญหลงเหลืออยู่ ไหนเลยจะเหลือความยิ่งใหญ่ในสนามรบดังที่เคยมี บางที…ตั้งแต่วันที่หนานกงไหวยอมสยบต่อเป่ยหยวนครั้งนั้น นางควรจะรู้แล้วว่าหนานกงไหวมิได้เป็นวีรบุรุษ เพียงแต่ยามนั้นนางคิดอันใดอยู่ เขาทำเพื่อข้า…จึงต้องยอมสยบแก่เป่ยหยวน
เฉียวเฟยเยียนรู้สึกน่าขัน ยามนี้คนผู้นี้ตกต่ำถึงขั้นร้องขอความช่วยเหลือจากบุตรีของตนเอง เห็นชัดว่าไม่ใช่เพื่อนาง
“ความผิดเจ้าหญิงแพศยา” สายตาของหนานกงไหวที่มองมายังเฉียวเฟยเยียนนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและโกรธแค้น เห็นชัดว่าคนที่เสียใจภายหลังคงไม่ได้มีแค่เฉียวเฟยเยียนเพียงคนเดียว หนานกงไหวเองก็เสียใจ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะสตรีผู้นี้ทั้งนั้น แต่สตรีผู้นี้…งดงามเท่าเมิ่งซื่อหรือไม่ มีความสามารถเท่าเมิ่งซื่อหรือไม่ มีความฉลาดเฉลียวเท่าเมิ่งซื่อหรือไม่ ไม่มีอันใดเลย แม้แต่เจิ้งซื่อที่เกิดมาต้อยต่ำยังเข้มแข็งกว่านางมาก อย่างน้อยเจิ้งซื่อ…ก็ไม่มักมากเหมือนนาง
“หญิงแพศยา” หนานกงไหวพุ่งเข้าไปเตะเฉียวเฟยเยียนแรงๆ หนึ่งครั้ง ยื่นมือไปคว้าผมที่ยุ่งเหยิงของเฉียวเฟยเยียน สะบัดมือลงไปตบลงบนใบหน้าของนาง
เฉียวเฟยเยียนถูกตบตีจนบอบช้ำ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปาก มองบุรุษน่าขยะแขยงตรงหน้า เฉียวเฟยเยียนทนไม่ไหวถ่มเลือดใส่หนานกงไหว จากนั้นอาศัยจังหวะที่หนานกงไหวไม่ทันระวังพุ่งตัวเข้าไปทุบตีหนานกงไหว “หนานกงไหว เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาโทษข้า เพราะเจ้ารักตัวกลัวตาย ตอนนั้นเพราะเจ้าล่อลวงข้า เจ้าทำลายชีวิตของข้า”
ในมุมหนึ่ง เฉียวเย่ว์อู่และเฉียวเชียนหนิงมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา เฉียวเชียนหนิงลังเลอยู่ชั่วครู่จึงดึงเฉียวเย่ว์อู่มาหลบอยู่ด้านหลังของตน มองภาพตรงหน้าเงียบๆ ไม่รู้กำลังคิดอันใดอยู่ ฝั่งตรงข้าม หนานกงชวี่ลืมตาขึ้นมา ดวงตาเรียบนิ่งฉายแววเย้ยหยันพร้อมแสยะยิ้มเย็น จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง
ออกมาจากห้องขัง แสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาวทอดลงมาบนร่าง ความมืดมนที่ติดออกมาจากในห้องขังหายเป็นปลิดทิ้ง จิ้นจั๋วกอดอกเดินตามหลังหนานกงมั่ว เลิกคิ้ว เอ่ย “เจ้ามาทำอันใดกันแน่” จิ้นจั๋วกำลังภายในดี หูก็ยิ่งดี แม้เขาจะไม่ได้เข้าไปในห้องขังด้วยแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกลับไม่อาจหลุดรอดจากการได้ยินของเขาได้