ตอนที่ 539 เกิดเรื่อง ฆาตกร (3)
หนานกงมั่วเหม่อลอยราวกับกำลังคิดอันใดอยู่ สายตาเว่ยจวินมั่ว ความจนปัญญาพาดผ่านเข้ามาในดวงตาของเว่ยจวินมั่ว ยื่นมือออกไปคว้านางที่เดินเหม่อลอยไม่ดูทางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนกลัวว่านางจะสะดุดล้มลงไป เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล”
ในห้องทรงอักษร เซียวเชียนเยี่ยที่พึ่งส่งเว่ยจวินมั่วและไล่ขุนนางที่ไม่อยากกลับออกไป เหลือไว้เพียงโจวเซียงและหันหมิ่นที่พึ่งฟื้นขึ้นมา รวมไปถึงขุนนางผู้อาวุโสอีกสองคนเพื่อมาหารือกัน
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หันหมิ่นรู้สึกโกรธจนตัวสั่น “ฝ่าบาท เว่ยจวินมั่วผู้นี้รังแกผู้อื่นอย่างโหดร้ายยิ่งนัก คนเช่นนี้…คนเช่นนี้จะปล่อยไว้ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจด้วยความจนใจ เอ่ย “ท่านหัน อย่างไรเว่ยจวินมั่วก็ยังเป็นบุตรชายคนเดียวขององค์หญิงฉังผิง อีกทั้งยังมีเสด็จลุงเยี่ยนอ๋องและเสด็จลุงฉีอ๋อง หากไม่มีหลักฐานที่แน่นอนก็ยากจะอธิบาย”
หันหมิ่นส่งเสียงหยัน “ฝ่าบาทเป็นกษัตริย์ เยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องเป็นประชาชน พวกเขาจะกล้าว่าอันใดหรือ เว่ยจวินมั่วลอบจัดตั้งสำนักมือสังหาร จะรู้ได้เยี่ยงไรว่าไม่ใช่ความต้องการของเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง มิเช่นนั้นเขาเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ จะเอาเงินมากมายที่ไหนมาใช้ในสำนักยิ่งใหญ่เพียงนี้” เซียวเชียนเยี่ยเป็นใบ้ขึ้นมาทันใด ลอบคิดกังวลในใจ หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าคงวุ่นวายขึ้นไปอีกแน่
ทว่าเป็นโจวเซียงที่ใจเย็นสักหน่อย เอ่ย “พี่หัน ยามนี้ฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ แม้จะบอกไม่ได้ว่าทุกอย่างได้กลับคืนมาแล้ว แต่ยังมีเรื่องต้องจัดการไม่น้อย นิ่งไว้ก่อนก็ใช่ว่าจะไม่ดี”
หันหมิ่นครุ่นคิด สุดท้ายจึงหุบปากไม่เอ่ยวาจา
เซียวเชียนเยี่ยนจึงเอ่ย “ท่านโจวกล่าวถูกต้องแล้ว แม้ยามนี้เรื่องของเซียวฉุนจะจบลง แต่อำนาจลับของเซียวฉุนและหนานกงไหวคงไม่อาจถูกกำจัดไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้…ผู้สืบทอดแต่ละเมืองต่างส่งสาสน์มาร่ำลาเพื่อออกเดินทาง ทุกท่านมีความคิดเห็นเช่นไร”
หันหมิ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม “ฝ่าบาทมีแผนการอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยส่ายหน้า “ไม่มีอันใด…ผู้สืบทอดต่างอยู่ในจินหลิงมานานแล้ว ควรกลับไปได้แล้ว” ก่อนหน้านี้เหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้ไม่ยอมปล่อย เพียงกลัวว่าพวกเขาจะกลับไปเล่าสิ่งใดที่ไม่ควรเล่าให้เหล่าผู้ปกครองเมืองเหล่านั้นฟัง ทำให้เสด็จลุงทั้งหลายวิ่งแจ้นมาก่อเรื่องวุ่นวายในจินหลิงก็เท่านั้น การกักขังคนเหล่านี้เอาไว้ก็เหมือนการบีบคั้น ยามนี้เซียวฉุนตายไปแล้ว ตนเองก็เริ่มควบคุมอำนาจทุกอย่างในราชสำนัก คนพวกนี้อยู่ต่อแน่นอนว่าไม่มีประโยชน์อันใด
“ฝ่าบาท เรื่องคุณชายสามในเยี่ยนอ๋องสังหารคุณชายหกในคังอ๋อง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทคิดจะจัดการเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยส่ายหน้า “คังอ๋องส่งจดหมายมาแล้ว บอกว่าเซียวเชียนจย่งสังหารบุตรชายของเขานั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น เขาไม่คิดเอาความ” บุตรชายตายไปหนึ่งคนแน่นอนว่าไม่ได้จัดการง่ายเพียงนั้น บอกได้เพียงว่าจวนเยี่ยนอ๋องชดใช้จนเป็นที่พอใจของคังอ๋องแล้ว และการชดเชยนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะรับรู้ได้ นึกถึงผู้สืบทอดคังอ๋องที่เอ่ยเรื่องนี้กับเขาก่อนหน้านี้ เซียวเชียนเยี่ยรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เซียวเชียนชื่อไม่ถนัดในการใช้วาจา เรื่องนี้ใครเป็นคนจัดการเซียวเชียนเยี่ยรู้ดี เพียงแต่เซียวเชียนเยี่ยคิดไม่ถึง ผู้สืบทอดที่ทำตัวสูงส่งจะยอมขายหน้าแก่เว่ยจวินมั่ว เขายังจำได้ว่าเมื่อก่อนพวกเขาช่วยกันรุมแกล้งเว่ยจวินมั่วด้วยกัน แต่ว่าท่าทีของผู้สืบทอดคังอ๋องยามนี้กลับแสดงออกมาราวกับเป็นพี่น้องที่รักใคร่กับเว่ยจวินมั่ว ทว่าทำราวกับคนที่ตายไปนั้นเป็นคนนอกเสียอีก
โจวเซียงขมวดคิ้ว “ดูเหมือน…ความสัมพันธ์ของชินอ๋องทั้งหลายโดยส่วนตัวแล้วคงจะดีไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเชียนเยี่ยฝืนยิ้ม “เสด็จลุงทุกคนล้วนเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าต้องสนิทสนม”
หลังจากนั้นก็ไม่ได้หารือเรื่องใดกันอีก ขุนนางเหล่านั้นต่างก็ขอตัวลากลับไป เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขุนนางเหล่านั้นเอ่ยล้วนฝังลึกเข้าไปในหัวของเซียวเชียนเยี่ย สะบัดอย่างไรก็ไม่ออก
ถ้าหาก…เจ้าเมืองต่างๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจับมือกันเป็นปึกแผ่น วันข้างหน้าใครยังจะมองเขาผู้เป็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา สักวันเขาคงไม่กลายเป็นกษัตริย์โจวเทียนจื่อที่ถูกล้มอำนาจหรอกหรือ
“ทูลฝ่าบาท เสนาบดีกรมอาญามารายงาน ว่าค้นพบสิ่งของบางอย่างในห้องหนังสือของเซียวฉุนพ่ะย่ะค่ะ ต้องการให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตร” ด้านนอก ทหารองครักษ์รีบเข้ามารายงาน สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยนิ่งขรึม เอ่ยเสียงเข้ม “นำเข้ามา” สิ่งของที่ค้นเจอในห้องหนังสือของเซียวฉุน อีกทั้งเสนาบดีกรมอาญายังต้องการให้ดูด้วยตนเอง…จะเป็นสิ่งใดกันนะ
ไม่นานเสนาบดีกรมอาญาก็ยกกล่องเดินเข้ามา เพียงเห็นสีหน้าเคร่งเครียดนั้นก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องใหญ่ วางกล่องลงบนโต๊ะตรงหน้า เสนาบดีกรมอาญาก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีกทั้งไม่กล้ามองเซียวเชียนเยี่ย เซียวเชียนเยี่ยลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปิดกล่องออก ด้านในมีกระดาษเพียงหนึ่งแผ่น ทว่าเพียงคำไม่กี่คำก็ทำให้ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด
…
หนานกงมั่วรู้สึกกระวนกระวาย แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอันใด รุ่งเช้าจึงรีบไปที่วัดต้ากวงหมิงด้วยตนเองทันที รับหนังสือสวดมนต์ทั้งหมดของหนานกงชวี่กลับมา นั่งอ่านหนังสือบทสวดอยู่บนรถม้าที่กำลังกลับเข้าเมือง หนานกงมั่วเกิดความสับสนขึ้นมาในใจ หนังสือบทสวดหนานกงชวี่เขียนเสร็จและถูกวางอยู่หน้าพระพุทธรูป แต่กระดาษที่แนบอยู่นั้นพึ่งถูกนำมาคั่นไว้ในหนังสือเมื่อสองวันที่ผ่านมา ด้านในเขียนทุกอย่างที่หนานกงไหวกระทำต่อตระกูลเมิ่ง รวมไปถึงหนานกงชวี่รู้เรื่องราวเหล่านี้ได้เยี่ยงไร นิสัยของหนานกงชวี่นั้นสงบและเงียบขรึม เดิมทีทำอันใดไม่เคยเป็นที่จับผิดได้ แต่ความจริงแล้วเขาฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เกิด หลายอย่างที่ผู้ใหญ่คิดว่าเขาไม่เข้าใจทว่าเขากลับเข้าใจมันอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อครั้งที่เมิ่งซื่อพาหนานกงมั่วไปอยู่ในเรือนจี้ชั่ง นำหนานกงฮุยที่ยังไม่รู้อันใดโยนมาให้หนานกงชวี่ที่เป็นเด็กเหมือนกันคอยดูแลเขาจึงไม่เอ่ยสิ่งใด เจิ้งซื่อเข้ามาในจวน กระทั่งเจิ้งซื่อแสดงตัวเป็นนายหญิงเขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เมิ่งซื่อจากไปหนานกงไหวส่งหนานกงชิงไปอยู่ในชนบทเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใด บาดเจ็บเมื่อครั้งยังเด็ก นับตั้งแต่นั้นไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้อีกเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใด เพราะในตอนที่ใครก็มองไม่เห็น เขากลับทำมากว่าพูดมากทีเดียว
หลังจากหนานกงไหวมีหนานกงซูแล้วก็ไม่มีบุตรอีกเลย ไม่เพียงเป็นฝีมือของเมิ่งซื่อเท่านั้น เมื่อครั้งนั้นหนานกงชวี่ที่ยังเป็นเด็กเองก็ลงมือเช่นกัน เขารู้ดีว่าต้องจัดการตัดเด็กที่จะเกิดขึ้นมาอีกมากมายในอนาคต เด็กที่จะเกิดมาแย่งผลประโยชน์และทำร้ายเขากับน้องชาย จัดการกับสตรีของหนานกงไหวอย่างเดียวนั้นไม่มีประโยชน์ เขาเลือกวิธีเดียวกันกับเมิ่งซื่อ ลงมือกับหนานกงไหวโดยตรง
ต่อมา หลังจากที่เมิ่งซื่อจากไปหนานกงชวี่เริ่มสงสัยว่าความรู้สึกของหนานกงไหวที่มีต่อเจิ้งซื่อนั้นไม่ได้บริสุทธิ์ ทว่าความอดทนต่อเจิ้งซื่อนั้นทำให้เขาเกิดความสงสัย ดังนั้นเขาจึงลอบสืบหา ลอบพลิกเปิดอ่านทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจดหมายหรือหนังสือที่เมิ่งซื่อทิ้งเอาไว้ ค่อยๆ ค้นพบเบาะแสและตัวตนของเจิ้งซื่อที่แม้แต่เมิ่งซื่อเองก็ไม่เคยรับรู้มาก่อน จากนั้นจึงถือโอกาสที่หนานกงไหวนำเจิ้งซื่อไปขังเอาไว้เอาจดหมายครึ่งหนึ่งนั้นมาจึงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในยามนั้น จากนั้นจึงลงมือสังหารเจิ้งซื่อโดยไร้ซึ่งความปรานี เพื่อปิดปากเจิ้งซื่อ ทำให้หนานกงไหวไม่อาจมาสงสัยเขาได้ เกรงว่าหนานกงไหวเองก็คงไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตของเขาเริ่มสงสัยเขามาตั้งนานแล้ว
พ่นลมหายใจออกมาช้าๆ หนานกงมั่วหยิบจดหมายในมือขึ้นมาอ่านโดยละเอียด ประโยคในจดหมายหลายแห่งนั้นเป็นประโยคแปลกๆ เมื่อดูให้ชัดหนานกงมั่วพบว่าในนั้นมีคำที่ไม่มีความหมายหรือตัวเลขที่เขียนผิดอยู่บ้าง ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ หนานกงมั่วจึงหยิบหนังสือสวดมนต์ขึ้นมาเปิดดู ดวงตาเริ่มเบิกโตขึ้นเรื่อยๆ