ตอนที่ 545 ยุคสมัยที่ฮ่องเต้เป็นใหญ่ (1)
ดวงตาของเซียวเชียนเยี่ยวูบไหว เอ่ยเสียงเรียบ “นางช่างมีใจรักลึกซึ้งต่อเว่ยจวินมั่ว ถึงเวลานี้ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”
ขันทีก้มหน้าไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขารู้ดีว่าฝ่าบาทไม่ได้เอ่ยกับตนเอง สุดท้ายเซียวเชียนเยี่ยจึงออกคำสั่ง “ให้นางเข้ามา”
เวลาไม่นาน หนานกงมั่วก็ถูกเชิญเข้ามา หนานกงมั่วมองห้องว่างเปล่าที่มีเซียวเชียนเยี่ยเพียงลำพัง จากนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองเซียวเชียนเยี่ย เอ่ย “หนานกงมั่วถวายพระพรฝ่าบาท”
เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้ว “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่ต้องมากพิธี หากจวิ้นจู่มาเพื่อเว่ยจวินมั่ว ก็ไม่ต้องเอ่ยแล้ว ผู้สืบทอดโจวอ๋องเป็นญาติผู้น้องของข้า อันจวิ้นอ๋องเป็นน้องชายของข้า พวกเขาถูกสังหารโดยไร้ซึ่งความผิด ข้าจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขา” มองเซียวเชียนเยี่ยที่เอ่ยว่าจาโอ่อ่าดูสง่างาม หนานกงมั่วยิ้มเย็นอยู่ในใจ พูดราวกับคนที่อยากให้อันจวิ้นอ๋องและเฉิงจวิ้นอ๋องไปตายจนแทบบ้าไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “หม่อมฉันคิดว่าคดีนี้ยังมีจุดน่าสงสัย ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมด้วยเพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยยิ้มเย็น “น่าสงสัยหรือ ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย ยังมีข้อสงสัยอันใดอีกเล่า”
หนานกงมั่วเอ่ย “สามีของหม่อมฉันถูกจับต่อหน้าผู้คน เดิมก็เป็นที่น่าสงสัยแล้วเพคะ”
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่” เซียวเชียนเยี่ยมีโทสะขึ้นมา เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าหมายความเช่นไร” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาทบอกว่าสามีของข้าเป็นหัวหน้าวังจื่อเซียวมิใช่หรือ เช่นนั้น…เขาจะฆ่าใครไยต้องลงมีเอง และไยจึงถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนั้นได้เล่า” เซียวเชียนเยี่ยหรี่ตาลง “เอ่ยเช่นนี้ เจ้ายอมรับว่าเว่ยจวินมั่วมีความเกี่ยวข้องกับวังจื่อเซียวอย่างนั้นหรือ” ผู้อยู่เบื้องหลังของสำนักมือสังหาร นั่นก็เป็นโทษหนัก ไม่เห็นว่ายามนี้ลิ่นฉังเฟิงหนีจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วหรือ
หนานกงมั่วยังคงยิ้มหวาน เอ่ย “ไม่เพคะ หม่อมฉันมิได้ยอมรับอันใดทั้งนั้น พวกนี้ไม่ใช่ฝ่าบาทเองหรือที่ยัดเยียดให้สามีของหม่อมฉัน ในเมื่อฝ่าบาทเชื่อมั่นเพียงนี้ แล้วไยจึงเชื่อว่าสามีของหม่อมฉันจะทำเรื่องตื้นเขินเช่นนี้เล่าเพคะ”
สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยเยือกเย็นลง “ความหมายของซิงเฉิงจวิ้นจู่ คือข้าใส่ร้ายเว่ยจวินมั่วหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “หม่อมฉันมิกล้า” มิกล้า แต่ไม่ใช่ว่า ไม่
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่ เจ้าช่างกล้าไม่เบา” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยเสียงเย็น “หากเจ้าคิดว่าเจ้าเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยคแล้วข้าจะปล่อยเว่ยจวินมั่ว คิดง่ายไปเสียแล้ว นอกเสียจากว่าเจ้าหาหลักฐานได้ว่าเว่ยจวินมั่วไม่ได้ฆ่า มิเช่นนั้น…ข้าจะจัดการเอง นอกจากนี้ เรื่องที่ผู้สืบทอดโจวอ๋องถูกสังหาร ข้าส่งคนไปรายงานโจวอ๋องแล้ว ซิงเฉิงจวิ้นจู่ เจ้าเตรียมคิดหาวิธีรับมือกับโจวอ๋องผู้สูญเสียบุตรชายเสียเถิด”
หนานกงมั่วหลุบตาลง ยิ้มบาง เอ่ย “ฝ่าบาท…หม่อมฉันนึกว่า เมื่อเทียบกับหม่อมฉันแล้วฝ่าบาทต่างหากที่ต้องกังวลใจ อย่างไรเสีย หม่อมฉันเป็นเพียงจวิ้นจู่เท่านั้น ฝ่าบาทพระองค์เป็น…กษัตริย์ที่เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์นะเพคะ”
สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยพลันเปลี่ยน เอ่ยเสียงดัง “เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ หนานกงมั่ว เจ้าบังอาจนัก”
หนานกงมั่วใบหน้าเรียบนิ่ง “ไม่รู้ว่าขุนนางเก่าแก่เหล่านั้นเมื่อรู้ว่าฝ่าบาทเล่นบทบาทไหนในเรื่องของอดีตฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแล้ว จะคิดเช่นไร ไม่รู้ว่าเมื่อคนทั่วหล้ารับรู้ว่าโรคระบาดในหลิงโจวนั้นเกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทต้องการรีดไถเงิน จะเป็นเช่นไร”
“หนาน กง มั่ว เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าอย่างนั้นหรือ” เซียวเชียนเยี่ยสีหน้าบิดเบี้ยว หนานกงมั่วหลุบตาลงยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทปกครองแผ่นดิน อยากสังหารใครแน่นอนว่าเป็นเรื่องง่าย เพียงแต่ ฝ่าบาทต้องมั่นใจด้วยว่าสามารถสังหารคนที่ควรสังหารให้หมด มิเช่นนั้น…หม่อมฉันไม่กลัวตาย ฝ่าบาทกลัวหรือไม่เพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยใบหน้าทะมึน จ้องหนานกงมั่วเขม็งแทบอยากจะจ้องนางจนพรุนไปทั้งตัว “หนานกงมั่ว เจ้าช่างกล้านัก ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเนิบ “หม่อมฉันจะรอดูฝีมือดุจสายฟ้าของพระองค์นะเพคะ จริงสิ ลืมเอ่ยอีกหนึ่งเรื่อง หม่อมฉันโชคดีที่ได้อ่านราชโองการของอดีตฮ่องเต้ เพียงแต่…ในมือหม่อมฉันเองก็มีราชโองการอีกหนึ่งฉบับ อีกทั้ง วันเวลายังเป็นหลังจากที่อดีตฮ่องเต้เขียนราชโองการทิ้งไว้ก่อนจะเสด็จสวรรคตด้วย ฝ่าบาท พระองค์ว่าควรทำเยี่ยงไรดีเพคะ”
“ราชโองการอันใด” เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้ว ถามอย่างระมัดระวัง
หนานกงมั่วยิ้มตอบ “ฝ่าบาทควรลองไตร่ตรองดูนะเพคะ หลังจากอดีตรัชทายาทจากไป…พระองค์ทำสิ่งใดไปบ้าง หากไม่ใช่อดีตฮ่องเต้มิได้ตายเพราะเซียวฉุนไปก่อน บัลลังก์นี้…หึๆ…”
“หนานกงมั่ว เจ้ารนหาที่ตาย” เซียวเชียนเยี่ยลุกขึ้นทันใด
หนานกงมั่วเอ่ย “ทางที่ดีฝ่าบาทต้องขอพรให้หม่อมฉันมีอายุยืนยาวสักหน่อย มิเช่นนั้นไม่แน่ไม่รู้เมื่อไรราชโองการนั้นจะถูกเปิดเผยต่อใต้หล้าเล่า”
“เจ้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้” เซียวเชียนเยี่ยโกรธจนตัวสั่น ยื่นมือไปหยิบหินฝนหมึกใกล้ๆ ปาไปยังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเบี่ยงตัวหลบ หินฝนหมึกลอยผ่านนางไป กระแทกเข้ากับเสาด้านหลัง น้ำหมึกสีดำกระจายออกไป
หนานกงมั่วพยักหน้า “หม่อมฉันทูลลาเพคะ เช่นนี้…หม่อมฉันสามารถวางใจได้แล้วว่าสามีของหม่อมฉันจะไม่เกิดปัญหาในคุกแล้วใช่หรือไม่เพคะ”
“ออกไป”
หนานกงมั่วเดินออกไป ด้านหลังเซียวเชียนเยี่ยมองตามหลังหนานกงมั่วไป ดวงตาของเขาแทบลุกเป็นไฟ
“หนาน กง มั่ว”
ไม่ไกลจากหน้าประตูวัง หลายคนยืนรอด้วยใบหน้าเคร่งเครียด มองเห็นหนานกงมั่วเดินมาจึงค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมา รอจนหนานกงมั่วเดินออกมาไกลจากนายทหารอารักษ์ประตูกว่าสิบก้าวจึงรีบเดินเข้าไปหา
นายทหารอารักษ์ประตู พวกเจ้านึกว่าพวกเราตาบอดแล้วหรือ
เห็นทุกคนถอนหายใจออกมา หนานกงมั่วรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไยพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” ไม่เพียงฝัง หลิ่ว ลิ่นฉังเฟิงเท่านั้น แม้แต่จิ้นจั๋วเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางยังมาอยู่ที่นี่ด้วย จิ้นจั๋วยักไหล่ เอ่ย “พวกเขาบอกว่าไม่แน่อาจต้องบุกเข้าวังไปช่วยเจ้าออกมา”
ลิ่นฉังเฟิงใบหน้าทะมึน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นนั้น” แม้ว่าเขาจะหมายความเช่นนั้นก็ตาม ทว่าเขาก็ไม่ได้อยากให้จิ้นจั๋วมานะ จิ้นจั๋วเบ้ปาก “ข้าเพียงไม่ต้องการให้คนแซ่เว่ยคนนั้นออกมาสร้างปัญหาให้ข้า”
“ดูเหมือนหัวหน้าจิ้นจะเชื่อใจจวินมั่วเหลือเกินนะ” ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว
หนานกงมั่วยิ้มจนใจ เอ่ย “เอาล่ะ พวกเรากลับกันก่อนเถิด ฉังเฟิง ตอนนี้เจ้าไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่”
ลิ่นฉังเฟิงไม่พอใจ “ข้ากลายเป็นนักโทษหนีคดีก็เพราะใครเล่า สองแม่ลูกตระกูลลิ่นนั่นเป่าหูตาเฒ่าให้ไล่ข้าออกจากบ้านแล้ว” เมื่อก่อนลิ่นฉังเฟิงวิ่งแจ้นไปทั่ว หรือทำอะไรนายท่านลิ่นไม่เคยถามไถ่ แต่อย่างน้อยลิ่นฉังเฟิงก็ยังเป็นบุตรชายคนโตเชื้อสายหลักของตระกูลลิ่น ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นายท่านตระกูลลิ่นตัดชื่อของลิ่นฉังเฟิงออกจากผังวงศ์ตระกูลแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปเขาก็ไม่ใช่คนของตระกูลลิ่นแล้ว จะว่าไป พวกเขาเองก็รู้สึกผิดต่อลิ่นฉังเฟิงจริงๆ
มองเห็นสีหน้าของหนานกงมั่ว ลิ่นฉังเฟิงโบกปัดมือท่าทางไม่ใส่ใจ เอ่ย “อย่าคิดมาก ตอนที่ข้าเริ่มกิจการกับเว่ยจวินมั่วก็รู้แล้วว่าจะมีผลตามมาเช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เป็นเช่นนี้ก็ยังดีกว่าเป็นบุตรชายคนโตเชื้อสายหลักที่เป็นราวกับอากาศอยู่ในตระกูลลิ่นมิใช่หรือ อย่างไรเสียตั้งแต่ต้นจนจบตาเฒ่าตระกูลลิ่นนั่นก็ไม่ได้คิดจะยกตำแหน่งผู้สืบทอดให้ข้าอยู่แล้ว” มารดาของลิ่นฉังเฟิงจากไปเร็ว ตาเฒ่าแต่งงานใหม่แล้วก็หลงภรรยาคนใหม่จนโงหัวไม่ขึ้น ลิ่นฉังเฟิงนั้นแทบเรียกได้ว่าเติบโตมาในบ้านของท่านปู่ ใครจะรู้ว่าผ่านไปได้เพียงไม่กี่ปีท่านปู่ก็จากไป และลุงคนเดียวที่มีก็ป่วยตลอดปีไม่อาจดูแลเขาได้ ลิ่นฉังเฟิงอายุสิบสองก็รู้จักกับเว่ยจวินมั่ว สองคนที่ไม่ได้รับสิ่งที่ดีนักทั้งคู่ต่างมารวมตัวกัน บอกว่าลิ่นฉังเฟิงพึ่งพาเว่ยจวินมั่ว มิสู้บอกว่าทั้งสองต่างไม่เป็นที่ต้องการและมีปัญหามาอยู่ด้วยกันจะดีกว่า