ตอนที่ 548 หลอกใช้และเคลือบแคลงสงสัย (2)
หนานกงมั่วเหลือบมองทั้งสองคนเล็กน้อย “หรือว่าคุณชายทั้งสองท่านไม่ใช่บุตรชายของเยี่ยนอ๋องหรือ” หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าทั้งสาม ข้าจวิ้นจู่กับเว่ยจวินมั่วสองคนกับองค์หญิงมีที่ไหนที่ไปไม่ได้เล่า
ทั้งสองหมดคำพูด ก้มหน้าลงไปเงียบๆ
“ฝั่งเสด็จแม่…” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “จิ้นจั๋วพาคนคุ้มกันอยู่ฝั่งนั้น ไม่ต้องกังวล อีกทั้ง ไม่ถึงที่สุดพวกนั้นคงไม่ทำร้ายองค์หญิงฉังผิงจึงจะถูก ความจริง…คุณชายทั้งสองก็ควรไปอยู่กับองค์หญิงฉังผิงด้วย”
“ได้อย่างไรเล่า หากเสด็จพ่อรู้ว่าพวกข้าปล่อยให้พี่สะใภ้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ต้องตีพวกเราตายแน่เลย” เซียวเชียนชื่อสองพี่น้องใบหน้าถอดสี หากเสด็จพ่อรู้ว่าพวกเขาไม่เพียงอาศัยสตรีคอยปกป้อง ยังทิ้งอีกฝ่ายรับมือกับมือสังหารคนเดียวอีก คงได้ตีพวกเขาตายแน่ ลิ่นฉังเฟิงเองก็เคยได้ยินมาว่าเยี่ยนอ๋องนั้นยึดหลัก ‘ไม้เรียวสั่งสอนบุตรให้ได้ดี’ พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างเข้าใจ
“มาแล้ว” เวยที่ยืนกอดกระบี่อยู่หน้าประตูเงยหน้าขึ้นมาพร้อมเอ่ยเสียงเย็น
มุมปากของหนานกงมั่วยกยิ้ม ลุกขึ้นมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาได้ดี ปล่อยพวกเขาเข้ามา จำไว้ว่าต้องเหลือคนรอดชีวิต”
เป้าหมายของอีกฝ่ายคือหนานกงมั่ว กลุ่มคนชุดดำบุกเข้ามาในจวนเยี่ยนอ๋องแล้วตรงเข้าหาเรือนของหนานกงมั่วในทันที เพียงเข้ามาในจวนเยี่ยนอ๋อง คนชุดดำชะงักไปชั่วครู่ ตลอดทางที่เข้ามานั้นราบรื่นเกินไป ทำให้รู้สึกไม่ปกติ แต่ว่าพวกเขากลับไม่เข้ามาไม่ได้ ต้องปฏิบัติตามรับสั่งด้วยชีวิต ต่อให้รู้ว่าจวนเยี่ยนอ๋องเป็นดั่งเขาดาบทะเลอัคคีก็ตาม พวกเขาก็เลี่ยงที่จะเข้ามาไม่ได้
“บุกเข้าไป”
ชายชุดดำหลายคนมุ่งเข้าไปยังห้องหนังสือที่มีไฟส่องสว่าง อีกกลุ่มแบ่งไปยังห้องนอน มือพึ่งสัมผัสเข้ากับประตูห้องหนังสือ ลมพลันปะทะออกมา สองคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าลอยกระเด็นออกไปทันใด ขณะเดียวกัน ประตูห้องหนังสือเองก็ล้มลงไปกับพื้น ตรงกลางมีชายหนุ่มชุดสีเทาผมสีเทายืนกอดกระบี่อยู่ มองมายังพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็น มองผ่านชายหนุ่มไป ผู้คนมากมายด้านในก็เดินออกมา ในมือของหนานกงมั่วมีโคมไฟสีอ่อนอยู่ในมือ สายตาเรียบนิ่งมองกลุ่มคนตรงหน้า ถอนหายใจ “พวกท่านอาจจะใจร้อนเกินไปหน่อย”
คนชุดดำส่งเสียงหยัน เอ่ยเสียงเข้ม “ลงมือ”
กลุ่มคนชุดดำไม่มากความ ตรงเข้ามาหากลุ่มคนตรงหน้า ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงต่อสู้ หนานกงมั่วยืนอยู่ใต้ชายคา ฝังยืนอยู่ข้างๆ นาง มองไปยังเรือนแล้วจึงเอ่ยเสียงเบา “จวิ้นจู่ มือสังหารพวกนี้ไม่ใช่ทหารองครักษ์ธรรมดา” พวกเขาเองก็ปะทะกับทหารองครักษ์อยู่หลายครั้ง ฝีมือของทหารองครักษ์ในวังนั้นค่อนข้างต่ำอยู่เล็กน้อย
“และไม่ใช่คนของหอธาราด้วย”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “เซียวเชียนเยี่ยยังพอมีสมองอยู่บ้าง คนเหล่านี้คือ…องครักษ์สายลับแห่งวังหลวง”
“องครักษ์สายลับหรือ พวกเขาไม่ใช่…” ฝังประหลาดใจ องครักษ์สายลับไม่ได้เข้ากับเซียวฉุนหรอกหรือ ตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยยังกล้าเชื่อใจพวกเขา
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ทหารองครักษ์เข้ากับเซียวฉุนได้ก็ต้องเข้ากับเซียวเชียนเยี่ยได้ ยิ่งไปกว่านั้น…มีหรือที่จะมีคนอยากตาย คนเหล่านั้นไม่ใช่ทุกคนที่ไร้บ้านไร้ครอบครัว…ใช้คนเหล่านี้ ตายไปก็ไม่ต้องปวดใจ อีกทั้งยังปัดความรับผิดชอบได้ หาได้ยากที่เซียวเชียนเยี่ยจะฉลาดสักครั้ง”
“เช่นนั้นแล้วจะทำเยี่ยงไร” ก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนเรื่องนี้ว่าเซียวเชียนเยี่ยจะไม่มีทางหลุดรอดไปได้
หนานกงมั่วยิ้มเย็น “อยากให้เกี่ยวข้องไหนเลยจะหาได้ง่ายเพียงนี้ อย่าว่าแต่คนพวกนี้เป็นคนที่เขาส่งมาเลย ต่อให้ไม่ใช่ ข้าก็จะทำให้ใช่ให้ได้”
“จวิ้นจู่ระวัง” ฝังยื่นมือมาหยิบกระบี่ประจำกาย ก้าวขึ้นไปขวางคนที่พุ่งเข้ามาหาหนานกงมั่ว หนานกงมั่วถือโคมไฟ ก้าวถอยหลังไปด้านข้างหนึ่งก้าว มองอีกคนที่กำลังวิ่งเข้ามาหาตน ยกมือตวัดเข็มเงินออกไป คนชุดดำล้มลงไปกับพื้น
ไม่นาน คนของวังจื่อเซียวที่หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดก็เข้ามาร่วมด้วย คนชุดดำเริ่มหมดแรง แม้จะคาดเดาเอาไว้แล้วว่าจวนเยี่ยนอ๋องคงจะมียอดฝีมือคอยคุ้มกัน แต่ใครจะไปคิดว่าหนานกงมั่วจะวางยอดฝีมือไว้ในจวนเยี่ยนอ๋องมากมายเพียงนี้ ต่อให้เป็นวังหลวงก็คงไม่มียอดฝีมือมากมายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหนานกงมั่วคงคาดเดาเอาไว้แล้วว่าพวกเขาจะมาในคืนนี้ เว่ยซื่อจื่อมีอำนาจเพียงนี้ ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะหวาดกลัวเช่นนี้
คนชุดดำผู้ที่เป็นหัวหน้าส่งสัญญาณ คนชุดดำอีกไม่กี่คนพยักหน้าตอบรับหันหลังกลับมุ่งหน้าไปยังเรือนด้านนอก หนานกงมั่วมองภาพเหล่านั้นอยู่ในสายตา ทว่าไม่ได้ลงมือ ราวกับมองไม่เห็น คนชุดดำที่มุ่งหน้าไปยังเรือนองค์หญิงฉังผิง แน่นอนพวกเขาคงคาดไม่ถึง ที่เรือนองค์หญิงฉังผิงนั้นยังมียอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าหนานกงมั่วรอพวกเขาอยู่
เซียวเชียนชื่อจับดาบในมือแน่น ตวัดดาบฟันคนชุดดำอย่างยากลำบาก หอบหายใจโดยไม่อาจควบคุมได้ เขาร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก เพียงฝึกฝนเพื่อเสริมสร้างร่างกายเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับน้องชายทั้งสองแล้วเขาเรียกว่าไม่มีวรยุทธ์เลยก็ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเหล่านี้จึงเป็นเรื่องยากลำบาก ทำได้เพียงรีบมือกับคนที่บาดเจ็บและพลั้งเผลอ แต่เพียงเท่านี้ก็ยังเป็นอันตราย ยังไม่ทันได้หายใจ ก็ต้องเผชิญกับคมดาบของชายชุดดำที่ฟันเข้ามา เซียวเชียนชื่อเบิกตาโตด้วยความตกใจ
เดิมเตรียมใจรับความเจ็บปวดทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บส่วนใดบนร่างกาย ชั่วพริบตา ผ้าสีขาวพลันล้อมรอบดาบที่ตกลงมายังร่างของเขา เพียงกระตุกเบาๆ ดาบยาวก็หลุดออกจากมือคนชุดดำ เซียวเชียนชื่อได้สติกลับมา รีบแทงออกไป
“พี่…พี่สะใภ้…” มองสตรีที่ถือโคมไฟยืนอยู่ตรงหน้า เซียวเชียนชื่อรู้สึกละอายขึ้นมา
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าฝืน ไปยืนอยู่ด้านหลังข้า”
“ข้า…ข้า…” เซียวเชียนชื่อหน้าแดง ถึงเขาจะอ่อนแออย่างไรก็เป็นบุรุษ น้องชายที่อายุน้อยกว่าตนยังกำลังต่อสู้กับศัตรู เขาจะ…ได้อย่างไร หนานกงมั่วมองเขาเงียบๆ เอ่ย “ทุกคนมีความถนัดของตนเอง ไม่มีวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องขายหน้าอันใด”
“ขอรับ พี่สะใภ้” เซียวเชียนชื่อก้มหน้าปิดบังดวงตาที่ขึ้นสีแดง ไม่มีวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องขายหน้า ประโยคนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยิน เสด็จแม่เองก็บอกกับเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เขารู้สึกเศร้าได้เท่าสตรีตรงหน้าเอ่ย สำหรับคนทั่วไปแล้วไม่มีวรยุทธ์นับว่าไม่ใช่เรื่องขายหน้า แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปยังเห็นความสำคัญของบทกวีที่ยาวเยียดมากกว่าศิลปะการต่อสู้ แต่จวนเยี่ยนอ๋องนั้นแตกต่าง บิดาของเขาเป็นผู้ปกครองเมืองรักษาดินแดน ทว่าเขากลับเป็นปัญญาชนผู้ไม่เอาไหน แม้ว่าบทประพันธ์ของเขาจะเขียนออกมาได้งดงามแพรวพราว ทุกครั้งที่เห็นสายตาผิดหวังของเสด็จพ่อและใบหน้าเล็กปลื้มอกปลื้มใจของน้องชาย เซียวเชียนชื่อรู้สึกไม่มีหน้าไปเผชิญหน้ากับบิดา
เสด็จแม่เอ่ยเช่นนั้นเพราะต้องการปลอบโยนเขา คนเบื้องล่างเอ่ยเช่นนี้ เพราะกลัวเขาโกรธ มีเพียงพี่สะใภ้ที่อายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีตรงหน้า วาจาที่นางเอ่ยออกมาทำให้เขารู้สึกว่า…เดิมก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีวรยุทธ์ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
ยามนี้หนานกงมั่วไม่มีเวลาไปสนใจว่าเซียวเชียนชื่อจะคิดอย่างไร ทำเพียงป้องกันศัตรูที่พุ่งเข้ามาหาเขาเท่านั้น นางปกป้องได้เพียงความปลอดภัยทางกายของเซียวเชียนชื่อ ความแข็งแรงทางจิตใจนั่นไม่ได้อยู่ในการดูแลของนาง