ตอนที่ 549 หลอกใช้และเคลือบแคลงสงสัย (3)
“แม่นางมั่ว เรียบร้อยหรือไม่” คุณชายฉังเฟิงที่กำลังต่อสู้เอ่ยถามอย่างหมดความอดทน คนชุดดำเหล่านี้สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นองครักษ์สายลับ วรยุทธ์ไม่เลวเลยจริงๆ และยังมาไม่น้อยอีกด้วย เพียงแต่หนานกงมั่วได้วางกำลังคนของวังจื่อเซียวไว้ที่จวนเยี่ยนอ๋องอยู่ก่อนแล้ว วังจื่อเซียวทำกิจการมือสังหาร ดังนั้นจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หนานกงมั่วยิ้มบาง ยกมือขึ้นโยนโคมไฟในมือออกไป โคมไฟร่วงลงไปยังต้นไม้แห้งในเรือน เปลวไฟลุกโชนขึ้นมา ไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งจวนเยี่ยนอ๋องสว่างไสวขึ้นทันที
คนชุดดำชะงัก ไม่นานก็ได้สติกลับคืนมา แต่ว่าพวกเขาไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะมือสังหารของวังจื่อเซียวปรากฏขึ้นรอบด้านมากกว่าพวกเขากว่าสองเท่า
นอกจวนเยี่ยนอ๋อง
กลุ่มคนพร้อมอาวุธทั้งดาบและกระบี่ คนสวมชุดเกราะยืนอยู่ล้อมรอบจวนเยี่ยนอ๋องกระทั่งหยดน้ำไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ไม่นานก็มีเสียงดังวุ่นวายไปทั่วถนนทั้งเส้น นายทหารชั้นสูงที่เฝ้าอยู่หน้าจวนเยี่ยนอ๋องตกใจ เงยหน้าหันกลับไปมองเห็นกลุ่มคนกำลังถือคบเพลิงวิ่งมาทางนี้ ขมวดคิ้วมุ่น นายทหารเรียกทหารชั้นผู้น้อยมาคนหนึ่งกระซิบออกคำสั่งไม่กี่ประโยค ผู้นั้นรีบวิ่งจากจวนเยี่ยนอ๋องตรงไปยังวังหลวง
“ทุกท่านหยุดก่อน” นายทหารก้าวเดินมาด้านหน้า ขวางทางคนที่มาเอาไว้
คนที่นำอยู่หน้าสุดกลับเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลฉิน ฉินจื่อซวี่ ฉินจื่อซวี่เอ่ยเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพผู้นี้ นี่หมายความเช่นไรหรือ”
นายทหารผู้นั้นเอ่ยตอบ “คุณชายฉิน ยามนี้เป็นยามวิกาลแล้ว ทุกท่านหมายความเช่นไรหรือ”
ฉินจื่อซวี่ชี้ไปยังจวนเยี่ยนอ๋องที่อยู่ด้านหลัง “ท่านแม่ทัพมองไม่เห็นหรือ แน่นอนว่าพวกเรามาช่วยจวนเยี่ยนอ๋องดับไฟ ท่านแม่ทัพเห็นแล้วว่าด้านในเกิดไฟไหม้ ไยจึงพาคนมาปิดล้อมจวน หากองค์หญิงฉังผิง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ อีกทั้งคุณชายเยี่ยนอ๋องทั้งสองเป็นอันใดไป พวกเราใครจะรับผิดชอบได้”
จวนตระกูลฉินห่างจากจวนเยี่ยนอ๋องไม่ไกลนัก หากบอกว่าเห็นเปลวไฟแล้วจึงรีบมานั้นยังพอฟังได้ แต่ว่า…ดึกดื่นเพียงนี้คุณชายฉินยังแต่งชุดเพียบพร้อมนั่นน่าสงสัย ทว่าเวลานี้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด อีกฟากหนึ่งของถนนมีคนรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพียงมองชุด หากไม่ใช่ตระกูลเซี่ยแล้วจะเป็นใครได้
ด้านหลังตระกูลเซี่ยนั่นคือคนจากจวนองค์หญิงหลิงอี๋รวมไปถึงคนจวนเฉิงจวิ้นอ๋อง ทั้งสามจวนนี้ล้วนอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน เวลานี้พลันวิ่งมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง
“บังอาจ มาปิดล้อมที่นี่ไว้ทำไม ยังไม่ปล่อยให้คนเข้าไปอีก หากพี่ห้าเป็นอันใด ข้าจะเอาศีรษะของพวกเจ้า” องค์หญิงหลิงอี๋ใบหน้าทะมึน รีบเดินมาจากด้านหลัง
มองดูผู้คนตรงหน้า แม่ทัพแอบก่นด่าอยู่ในใจ คนเหล่านี้มีใครบ้างที่เขาผู้เป็นนายทหารขั้นสี่จะล่วงเกินได้ แต่ว่า… “ทูลองค์หญิง กระหม่อมได้รับคำสั่ง ห้ามผู้ใดเข้าใกล้จวนเยี่ยนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหลิงอี๋ยกมือขึ้นมาฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของเขาอย่างรุนแรง เอ่ยเสียงเย็น “คำสั่งของผู้ใด ผู้ใดมีความกล้าเผาองค์หญิงฉังผิงให้ตายอยู่ด้านในนั้น มิสู้เจ้าเอาข้าเข้าไปเผาให้ตายไปด้วยเลยดีหรือไม่”
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารคุกเข่าลง ลอบคิดอยู่ในใจ นั่นดูเหมือนจะไหม้ขึ้นมาตรงไหนกันเล่า
“ไสหัวไป” องค์หญิงหลิงอี๋เอ่ย ยกเท้ากำลังจะบุกเข้าไปด้านใน ทว่าถูกห้ามเอาไว้ “องค์หญิง ช้าก่อน”
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้อย่างพร้อมเพรียง ทุกคนหันกลับไปมองเป็นกองทัพจากจวนเอ้อกั๋วกงมาถึง ทหารของจวนเอ้อกั๋วกงนั้นต่างจากทหารทั่วไป ล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารที่ผ่านสนามรบมาแล้วทั้งนั้น ดูจะมีความสง่ามากกว่าตระกูลอื่น เห็นชัดว่าเอ้อกั๋วกงนั้นให้เกียรติหนานกงมั่วเป็นอย่างยิ่ง จึงได้นำผู้คนมาด้วยตนเอง มองเห็นกลุ่มคนยืนอยู่หน้าประตูจึงขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
นายทหารผู้นั้นเอ่ยตอบ “รายงานกั๋วกง ไม่มีเรื่องอันใดขอรับ บ่าวจวนเยี่ยนอ๋องไม่ทันระวังทำให้เกิดไฟลุกไหม้…”
“โป้ปด” เอ้อกั๋วกงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ด้านในมีเสียงต่อสู้ไม่หยุด เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น…หากไม่มีอันใด ดึกดื่นป่านนี้ไยต้องนำทหารมาปิดล้อมจวนเยี่ยนอ๋องเล่า” นายทหารลอบเช็ดเหงื่อ กั๋วกงผู้นี้ไม่เพียงเป็นวีรบุรุษร่วมก่อตั้งประเทศ อีกทั้งยังเป็นบิดาของฮองเฮา ท่านตาขององค์ชายใหญ่ ไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองได้เลยจริงๆ
“ท่านกั๋วกง…ข้าน้อยเองได้รับคำสั่งจากเบื้องบน กังวลว่าโจรจะใช้โอกาสชุลมุนมารบกวนองค์หญิงฉังผิง ดังนั้นจึง…”
องค์หญิงหลิงอี๋ยิ้มเย็น “ที่แท้ข้าก็เป็นโจรอย่างนั้นหรือ”
เอ้อกั๋วกงนั้นอารมณ์ร้อน ชักดาบข้างตัวขึ้นมาจ่อไปที่คอของอีกฝ่าย “เจ้าเป็นคนของใคร”
คนผู้นั้นใบหน้าซีดขาว “ข้าน้อย…ข้าน้อยคือเสี้ยวเว่ย[1]แห่งค่ายเมืองหลวง…”
เอ้อกั๋วกงยิ้มเย็น “เรื่องในเมืองจินหลิงมีกองปัญจทิศคุ้มกันเมืองและหยาเหมินเขตอิ้งเทียนคอยดูแลอยู่แล้ว ดึกดื่นป่านนี้ ไยจึงเคลื่อนกำลังค่ายเมืองหลวงได้เล่า”
“เอ่อ…เอ่อ…” เหงื่อของนายทหารซึมออกมา พูดสิ่งใดไม่ออก
เอ้อกั๋วกงไม่สนใจเขา เอ่ยเสียงเข้ม “จับตัวเอาไว้”
“ขอรับ” นายทหารด้านหลังเอ้อกั๋วกงตอบรับพร้อมเพรียง เอ้อกั๋วกงกวาดตามองกองกำลังทหารที่ล้อมจวนเยี่ยนอ๋องเอาไว้ เอ่ยเสียงเข้ม “ตามข้าเข้าไปดู”
เพียงเหยียบย่างเข้าไปในจวนเยี่ยนอ๋อง กลิ่นคาวเลือดก็ปะทะเข้ามา สีหน้าขององค์หญิงหลิงอี๋ซีดขาวทันใด “พี่ห้า…เร็ว ข้าจะไปหาพี่ห้า”
เอ้อกั๋วกงเองก็มีสีหน้าไม่ดีนัก เมืองจินหลิงใต้ฝ่าเท้าโอรสสวรรค์เกิดเรื่องเช่นนี้…ถอนหายใจออกมา “ข้าจะไปหาซิงเฉิงจวิ้นจู่” ฉินจื่อซวี่และคนของตระกูลเซี่ยรวมไปถึงผู้ดูแลจวนเฉิงจวิ้นอ๋องเอ่ยพร้อมเพรียง “พวกเราตามกั๋วกงไปหาซิงเฉิงจวิ้นจู่”
ยิ่งเดินเข้าใกล้เรือนของหนานกงมั่ว ยิ่งมีผู้คนล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ฉินจื่อซวี่ที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลยังอดไม่ได้ใบหน้าซีดขาวขึ้นมาเล็กน้อย มีเพียงเอ้อกั๋วกงที่มีประสบการณ์ในสนามรบมามากที่ยังคงสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ เดินเข้าไปในเรือน เอ้อกั๋วกงตะโกนเรียก “ซิงเฉิงจวิ้นจู่”
เรือนทั้งเรือนเงียบสงบ มีเพียงเปลวไฟที่ยังคงมอดไหม้กำลังเผาไหม้ให้แสงสว่าง ทั่วทั้งเรือนถูกไหม้ไปกว่าครึ่งแล้ว
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่”
“แค่กๆ…” เสียงไอเบาๆ ดังออกมาจากซากปรักหักพัง ทุกคนรีบเดินเข้าไปใกล้ ระหว่างกองเพลิงหนานกงมั่วใบหน้าซีดเซียวถูกสาวใช้ประคองให้ลุกขึ้นมา ในมือของสาวใช้มีดาบหนึ่งเล่ม คมดาบเปื้อนไปด้วยเลือดสีสด ในมือของหนานกงมั่วนั้นมีกริชสั้นอยู่ เสื้อผ้าและมือของนางเต็มไปด้วยคราบเลือด แม้จะดูไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหน แต่ใบหน้าซีดขาวทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเปล่งประกายเป็นพิเศษ
“จวิ้นจู่ บาดเจ็บที่ใดหรือไม่”
หนานกงมั่วเอนตัวพิงหลิ่ว ส่ายศีรษะ ฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณ…ขอบคุณกั๋วกงและทุกท่านที่มาช่วยเจ้าค่ะ”
ฉินจื่อซวี่ยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “จวิ้นจู่กล่าวหนักแล้ว พวกเรา…พวกเรามาช้าแล้ว”
เอ้อกั๋วกงมองไปยังซากปรักหักพังตรงหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “จวิ้นจู่ ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่” หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “องครักษ์หลายคนที่คอยเฝ้าต่อสู้ล้มตายไปมาก ยังมีที่เรือนของเสด็จแม่และน้องชายทั้งสองเจ้าค่ะ” ทุกคนมองไปที่พื้น ไม่ได้มีเพียงคนชุดดำจริงๆ ยังมีคนที่สวมชุดองครักษ์จวนเยี่ยนอ๋องอยู่ด้วย
[1] เสี้ยวเว่ย ทหารระดับพันเอก