ตอนที่ 556 ของมีค่าควรค่าแก่การเก็บรักษาเพื่อเกร็งกำไร ไปจากเมืองหลวง (2)
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “ก็ใช่น่ะสิ อย่างไรแผ่นดินเซี่ยที่ยิ่งใหญ่นี้ก็เป็นของฝ่าบาท พวกเรานอกจากหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว ยังจะทำอันใดได้อีกเล่า” แน่นอนฉินจื่อซวี่ไม่ได้จริงจังกับคำพูดของนาง “หนีหัวซุกหัวซุนหรือ จวิ้นจู่ถ่อมตนแล้ว เกรงว่า…ทั้งสองคงวางแผนจะไปจากที่นี่ตั้งนานแล้วมากกว่ามิใช่หรือ การกระทำครั้งนี้ของฝ่าบาทนั้นรังแต่จะเสียประโยชน์เท่านั้น อย่างไรด้วยสถานะของคุณชายเว่ยและองค์หญิงฉังผิง จะไปจากจินหลิงไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น” ต่อไปหากเกิดเรื่องอันใด ผู้คนก็จะจดจำว่าฝ่าบาทนั้นยกตนข่มท่าน เป็นเหตุให้ผู้คนทนไม่ได้
หนานกงมั่วยิ้มให้ฉินจื่อซวี่ ถอนหายใจ “คุณชายฉินช่างดวงตาแหลมคม” โชคดีที่ได้เป็นสหายกับคนอย่างฉินจื่อซวี่ หากเป็นศัตรูนับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว
“มั่วเอ๋อร์ พวกเจ้าจะไปจากจินหลิงจริงๆ หรือ” ฉินซีเอ่ยอย่างเสียดาย ยากที่นางจะมีสหายที่ดีสักคน ยามนี้กลับต้องแยกจาก ทว่าฉินซีเองก็เข้าใจถึงความหนักเบาของสถานการณ์ แม้จะเสียดายทว่าไม่ได้เอ่ยอันใดมาก หนานกงมั่วยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิ ต่อไปหากมีโอกาสไปเที่ยวเล่นที่โยวโจวได้หรือไม่” ฉินซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นที่โยวโจวก็นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว” นั่นหมายความว่าร่างกายของนางแข็งแรงแล้ว น่าเสียดาย ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสนั้น
หนานกงมั่วยื่นมือไปตบลงบนหลังมือนางเบาๆ “อย่าคิดมากเพียงนั้น ร่างกายแข็งแรงแล้วมีที่ใดจะไปไม่ได้เล่า เซี่ยสามเองก็สัญญากับข้าแล้วว่าจะไปเยี่ยมข้าที่โยวโจว เจ้ามาพร้อมกับนางก็ได้”
ฉินซียิ้มแย้ม พยักหน้าแรงๆ “ได้” เซี่ยเพ่ยหวนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่นางได้พูดคุยด้วย ตระกูลเซี่ยกับตระกูลฉินล้วนแต่เป็นตระกูลขุนนาง แม้เมื่อก่อนจะไม่สนิทกันทว่าหลังจากได้รู้จักกับหนานกงมั่วแล้วทั้งสองจึงได้พูดคุยกันเรื่องหนังสือตำราหรือบางครั้งอาจแลกเปลี่ยนของเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
สตรีทั้งสองพูดคุยกันสนุกสนาน เว่ยจวินมั่วและฉินจื่อซวี่กลับแยกตัวออกไปนั่งยังห้องข้างๆ หนานกงมั่วเองไม่ได้สนใจ ยังคงจับมือฉินซีพูดคุยหัวเราะ เรื่องของเว่ยจวินมั่วหลายอย่างนางไม่ต้องเป็นกังวลด้วย
เว่ยจวินมั่วมองฉินจื่อซวี่นิ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “คุณชายฉินมาครั้งนี้ คงมิได้เพียงมาส่งหรอกใช่หรือไม่”
ฉินจื่อซวี่มองสบตากับดวงตาคมทว่าเฉยชาของเว่ยจวินมั่ว ทำเพียงยิ้มขมขื่น วางถ้วยชาลง เอ่ยจริงจัง “มิอาจปิดบังเว่ยซื่อจื่อ มีเรื่องเล็กน้อยขอรับ”
เว่ยจวินมั่วหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าฟังอยู่”
ฉินจื่อซวี่ครุ่นคิด เอ่ยถาม “ไม่รู้ว่าคุณชายเว่ยมีความเห็นต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเช่นไรหรือ”
เว่ยจวินมั่วมองเขานิ่งๆ เอ่ย “การขึ้นครองบัลลังก์ของฮ่องเต้นั้นเป็นไปตามครรลองแน่นอนว่าจะพาอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน” ฉินจื่อซวี่กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ ส่ายศีรษะ “ไยคุณชายเว่ยต้องเอ่ยคำเช่นนี้มาหลอกข้า” เว่ยจวินมั่วและเซียวเชียนเยี่ยมีความสัมพันธ์ไม่ดีเพียงใดเกรงว่าทั่วทั้งจินหลิงคงรู้ดี เว่ยจวินมั่วเอ่ยชื่นชมเซียวเชียนเยี่ย อีกทั้งยังบอกว่าจะเจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่การเสียดสีจริงหรือ
ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ฉินจื่อซวี่เอ่ย “เอาล่ะ ข้าจะเอ่ยตามตรง หากต่อไปในภายภาคหน้าข้าต้องการทำหน้าที่บางอย่างภายใต้การดูแลของคุณชายเว่ย ไม่รู้ว่าคุณชายคิดเห็นเช่นไร”
ดวงตาแหลมคมของเว่ยจวินมั่วมองไปที่เขา เนิ่นนานจึงเอ่ย “ข้าไร้อำนาจ มิอาจรบกวนคุณชายใหญ่ฉิน”
วาจานี้ของเว่ยจวินมั่วหากมองผิวเผินนั้นไม่มีสิ่งใดผิด แม้เว่ยจวินมั่วจะเป็นบุตรชายขององค์หญิงฉังผิง แต่องค์หญิงฉิงผิงนั้นหย่าขาดกับจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแล้ว เดิมมีตำแหน่งขุนนางระดับสองแต่เมื่อไปถึงโยวโจวแล้วเซียวเชียนเยี่ยคงไม่ได้ใจดีให้เขาดำรงตำแหน่งต่อไป เว่ยจวินมั่วในยามนี้เรียกว่าไร้อำนาจยศฐาบรรดาศักดิ์ ส่วนจะไร้ซึ่งอิทธิพลหรือไม่ยังเป็นอีกเรื่อง แต่ฉินจื่อซวี่นั้นแตกต่าง แม้ตำแหน่งเขายังไม่สูง แต่เขาเป็นผู้นำตระกูลฉินในอนาคต อีกทั้งอายุเขายังน้อย ยามนี้ตระกูลฉินมีอำนาจ เกือบทุกคนในตระกูลฉินต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา เปลี่ยนแปลงตระกูลฉินจนขึ้นเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของจินหลิง แม้แต่เซียวเชียนเยี่ยยังต้องให้ความสำคัญ
ถูกเขาปฏิเสธ ฉินจื่อซวี่เองก็ไม่โกรธ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วาจานี้ของคุณชายเว่ยหลอกคนเหล่านั้นที่ไม่รู้เรื่องมองเพียงเปลือกนอกนั่นพอได้ ตัวข้าเองคิดว่าตนเองนั้นยังพอมีสมองและสายตาอันแหลมคมอยู่บ้าง แม้คุณชายเว่ยจะไม่ยอมรับ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังวังจื่อเซียวไม่บอกใครๆ ต่างก็รู้ดี ข้ารู้สึกแปลกใจจึงสั่งคนไปสืบ วังจื่อเซียวภายใต้การดูแลของคุณชายเว่ยไม่ใช่เพียงสำนักมือสังหารเท่านั้น เบื้องลึกลงไปบางทียังมีกิจการอีกมากมาย จากความสามารถของคุณชาย หากคิดจะอยู่ในยุทธภพและรวบรวมยุทธภพจริงป่านนี้ก็คงสำเร็จไปแล้ว จะมีเพียงวังจื่อเซียวได้เยี่ยงไร เช่นนั้นแล้ว ไม่ได้มีไว้เพื่ออำนาจ แน่นอนว่าคงมีไว้เพื่อเงิน คุณชายเกิดในเชื้อพระวงศ์ ไม่อาจฟุ้งเฟ้อ เงินเหล่านี้เอาไปใช้ที่ใดหรือ”
เว่ยจวินมั่วจ้องฉินจื่อซวี่นิ่ง เอ่ยเสียงเย็น “เจ้ารู้มากไปแล้ว”
ฉินจื่อซวี่รู้สึกสันหลังเย็นวาบ ทั่วทั้งร่างเกร็งขึ้นมา แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนทั่วไป ใบหน้ายังคงนิ่งไม่เปลี่ยนไป ยิ้มพลางเอ่ย “คุณชายเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้มีความสนใจต่อเรื่องส่วนตัวของคุณชาย เพียงอยากบอกว่า…คุณชายทุ่มเททำเพื่อเยี่ยนอ๋องเพียงนี้ ความเชื่อใจและความสำคัญที่เยี่ยนอ๋องมีต่อคุณชายก็เป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน เกรงว่าคุณชายไปถึงโยวโจวแล้ว…จึงเป็นดั่งฟ้าสูงแล้วแต่นกจะโบยบิน ท้องทะเลกว้างใหญ่แล้วแต่ปลาจะแหวกว่าย”
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว “เป็นเช่นนั้น เกี่ยวอันใดกับคุณชายฉินเล่า คุณชายฉินเป็นนายน้อยตระกูลฉิน คิดจะละทิ้งบรรดาศักดิ์และติดตามข้าหรือ ต่อให้เป็นดั่งที่คุณชายฉินเอ่ย ข้าเองยังดูไม่ออกว่าจะมีอนาคตเท่ากับการอยู่ที่ตระกูลฉินได้เยี่ยงไร”
ฉินจื่อซวี่ลูบปลายจมูก ถอนหายใจ “นับตั้งแต่ตระกูลฉินคิดถอยออกจากแวดวงของจินหลิง เช่นนี้หากข้ายังอยู่ที่จินหลิงเกรงว่าคงไม่สะดวก ดังนั้น หวังว่าถึงตอนนั้นคุณชายเว่ยจะไม่รังเกียจรับข้าเอาไว้”
เมื่อฟังดังนั้นแล้วจึงเงียบไปชั่วครู่ ในตอนที่ฉินจื่อซวี่คิดว่าเว่ยจวินมั่วจะปฏิเสธนั่นเองจึงได้ยินเสียงเว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”
ฉินจื่อซวี่ถอนหายใจ ไม่ปฏิเสธถือว่ายอมรับแล้ว ส่วนเว่ยจวินมั่วจะเชื่อคำเขาหรือไม่นั้น ฉินจื่อซวี่ไม่ได้ใส่ใจ
เมื่อบอกลาหนานกงมั่วทั้งสอง ขณะฉินจื่อซวี่และฉินซีนั่งอยู่บนรถม้ากลับจวนตระกูลฉิน มองเห็นคิ้วคมที่เคยขมวดได้คลายออกแล้ว ฉินซีพอเดาได้ว่าเป้าหมายของพี่ชายนั้นสำเร็จแล้ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ ฉินซีอดไม่ได้เอ่ยถามออกไป “พี่ใหญ่ ท่านตัดสินใจไปโยวโจวจริงหรือเจ้าคะ” ฉินจื่อซวี่ยิ้ม เอ่ย “ทำไมหรือ ไม่อยากให้พี่ใหญ่ไปหรือ”
ฉินซีเอ่ยอย่างจนใจ “พี่ใหญ่…หากท่านตัดสินใจติดตามคุณชายเว่ยจริงๆ แม้ท่านพ่อจะไม่ปฏิเสธ แต่คนในตระกูลเกรงว่าคงมีคำพูดต่างๆ นานา” ตระกูลฉินไม่ใช่หัวหน้าตระกูลจะตัดสินใจได้เด็ดขาด ยังมีคนมากมายที่คอยจับจ้องคาดหวังให้พี่ใหญ่ทำเรื่องผิดพลาด เป็นถึงคุณชายตระกูลฉิน ละทิ้งหน้าที่ของตระกูล ไปติดตามใครที่ดูไม่ออกถึงข้อดีใดๆ นี่คงทำให้ทุกคนไม่พอใจ ฉินจื่อซวี่เอ่ย “ท่านพ่อยินยอมก็พอแล้ว ไยต้องสนใจคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ต้องบอกพวกเขาก็พอแล้วมิใช่หรือ อย่างไรข้าก็ยังเด็ก ต้องออกไปท่องเที่ยวสักครั้งมิใช่หรือ”
เห็นใบหน้าน้องสาวยังคงกังวล ฉินจื่อซวี่เอ่ย “ซีเอ๋อร์อ่านบันทึกประวัติศาสตร์ ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่หลี่ว์ปู้เหวยเจอจื่อฉู่เขาเอ่ยสิ่งใด”
“ของมีค่าควรค่าแก่การเก็บรักษาเพื่อเกร็งกำไรหรือ” ฉินซีงุนงง “แต่ว่า คุณชายเว่ยไม่ใช่จวงเซียงอ๋อง[1]นะเจ้าคะ”
[1] จวงเซียงอ๋อง ตามพงศาวดารจีน เดิมเป็นพระราชโอรสที่ถูกส่งไปเป็นตัวประกันในแคว้นจ้าวนามว่าอี้เหริน เมื่อกลับมาอยู่แคว้นฉินก็ได้รับแต่งตั้งเป็นบุตรเอกและเปลี่ยนชื่อเป็น จื่อฉู่ ก่อนหน้าจะกลับมาอยู่ที่แคว้นฉินเคยบังเอิญเจอกับหลี่ว์ปู้เหวย พ่อค้าที่มีความสามารถคนหนึ่งเข้า ซึ่งตอนนั้นหลี่ว์ปู้เหวยรำพันว่า ข้าได้พบของมีค่าควรค่าแก่การเก็บรักษาเพื่อเกร็งกำไร โดยหวังว่าตนจะได้ช่วยให้อี้เหรินได้ครองบัลลังก์และจะได้รับผลตอบแทน