ตอนที่ 560 แรกถึงโยวโจว (1)
“หนานกงมั่วหรือ” โจวอ๋องหรี่ตาลง
หนานกงมั่วพยักหน้า “โจวอ๋องยังจำหม่อมฉันได้ นับว่าเป็นวาสนาแล้วเพคะ”
โจวอ๋องส่งเสียงหยัน “เด็กน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าช่างเจรจา แต่ต่อให้เจ้ายกแม่น้ำทั้งห้ามาเอ่ย ข้าเองก็ต้องเอ่ยแทนบุตรชายของข้า”
หนานกงมั่วถอนหายใจ “ท่านอ๋องทำอย่างไรท่านจึงจะเชื่อพวกเรา”
“ข้าเชื่อเพียงหลักฐาน” โจวอ๋องกลอกตา เอ่ยเสียงเรียบ
“พี่สี่” องค์หญิงฉังผิงที่อยู่ในรถม้าคล้ายกับได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอก ลงจากรถม้าโดยมีสาวใช้คอยประคอง โจวอ๋องขมวดคิ้ว “ฉังผิง นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เจ้าไปอยู่ให้ห่าง เดี๋ยวพี่สี่จะคุยกับเจ้าทีหลัง”
องค์หญิงฉังผิงยิ้มขมขื่น “จวินเอ๋อร์คือลูกของหม่อมฉัน จะไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันได้เยี่ยงไรเพคะ พี่สี่ เรื่องที่ทำจวินมั่วไม่มีทางไม่กล้ายอมรับ ต่อให้พระองค์ไม่เชื่อหลานชายผู้นี้ หรือว่าไม่เชื่อแม้กระทั่งน้องสาวเช่นหม่อมฉันหรือเพคะ” โจวอ๋องมีสีหน้าโกรธจัด จ้องพวกหนานกงมั่วสองคนเขม็ง เอ่ย “เจ้าก็พูดง่าย คนที่ตายคือลูกของข้า”
องค์หญิงฉังผิงเอ่ย “ในเมื่อจวินเอ๋อร์บอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ คนร้ายก็ต้องเป็นคนอื่น พี่สี่ทำเช่นนี้ ไม่ทำให้คนร้ายนั้นลำพองใจหรือ”
โจวอ๋องเอ่ย “ตอนนี้ข้าจะเอาเรื่องเขา นอกเสียจากว่าเขาจะมีหลักฐานว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา จากนั้นจับคนร้ายมาไว้ตรงหน้าข้า มิเช่นนั้นก็ไม่มีอันใดต้องคุย”
เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยอย่างนั้นหรือ ก่อนหน้านี้เว่ยจวินมั่วเองก็เขียนจดหมายหาโจวอ๋อง ในจดหมายอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ไม่เชื่อว่าโจวอ๋องจะไม่เข้าใจว่าจดหมายนั้นหมายความเช่นไร เอ่ยถึงตรงนี้ โจวอ๋องไม่มีปัญญาไปเอาเรื่องเซียวเชียนเยี่ย จึงมาลงที่พวกเขาเท่านั้น
“เช่นนั้นโจวอ๋องท่านต้องการเช่นไร” หนานกงมั่วประคององค์หญิงฉังผิง ลูบมือนางเบาๆ และส่ายหน้าให้ บอกใบ้ให้นางไม่ต้องเอ่ยอันใดอีก โจวอ๋องตั้งใจจะเอาเรื่องกับพวกเขา ต่อให้องค์หญิงฉังผิงเอ่ยไปมากเพียงใดก็ไม่อาจช่วยได้ อย่างไรผู้สืบทอดก็ตายไปแล้ว หากโจวอ๋องไม่ทำอันใดเลยคนอื่นจะดูถูกเอาได้ ดังนั้น ตอนนี้จึงเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอย่างนั้นหรือ
โจวอ๋องเอ่ย “สองทางเลือก หนึ่งทิ้งชีวิตของเว่ยจวินมั่วไว้แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป สองพวกเจ้าทั้งหมดตายอยู่ด้วยกันที่นี่ วางใจ หลังจากนั้นข้าจะส่งน้องห้าไปยังโยวโจวอย่างแน่นอน”
หนานกงมั่วยิ้มร่า เลิกคิ้วเอ่ย “แผนการของท่านอ๋องไม่เลวเลย แต่เกรงว่า…คนข้างหลังพวกเราคงไม่รับปากด้วยน่ะสิ”
โจวอ๋องยิ้มเย็น “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามียอดฝีมือ เพียงแต่…ยอดฝีมือจะเผชิญหน้ากับทหารนับพันได้เยี่ยงไร” เพียงโบกมือส่งสัญญาณ ทหารด้านหลังโจวอ๋องจึงยกธนูขึ้นมา เล็กปลายแหลมมายังกลุ่มคนตรงหน้า โจวอ๋องมองเว่ยจวินมั่วอย่างลำพองใจ เอ่ย “เด็กน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าและภรรยาของเจ้านั้นเก่งกาจ แต่ข้าเตือนเจ้าว่าทางที่ดีอย่าหนี มิเช่นนั้น…เกิดไม่ระวังทำให้น้องห้าบาดเจ็บ ข้าเองก็คงเสียใจ”
“พี่สี่” สีหน้าขององค์หญิงพลันเปลี่ยน “จวินเอ๋อร์ อู๋สยา พวกเจ้าไปไม่ต้องสนใจแม่ พี่สี่ไม่มีทางสังหารแม่หรอก”
โจวอ๋องเลิกคิ้ว “เกรงว่าพวกเขาสองคนคงไม่เชื่ออย่างที่น้องห้าบอก”
บรรยากาศตรึงเครียดขึ้นมาทันใด พื้นที่ที่มีผู้คนนับพันกลับเงียบสงบ
ด้านหลังโจวอ๋อง เสียงฝีเท้าม้าพลันดังขึ้น ราวกับกองทัพนับพันกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เสียงดังขึ้นแม้แต่พื้นดินยังสั่นไหว โจวอ๋องชะงัก หันกลับไปขมวดคิ้วมอง เอ่ย “เกิดอันใดขึ้น” เขาไม่ได้สั่งการเคลื่อนพลเพิ่ม ไยจึงมีกองทัพเคลื่อนพลมาทางนี้กันเล่า
แม่ทัพข้างกายโจวอ๋องมีสีหน้ามึนงง มองไปยังถนนไกลออกไปมีกองกำลังทหารม้า เกราะสีดำทะมึน ม้าขัดเกลามันเงา บรรยากาศอึมครึม ระยะเวลาเพียงไม่นาน กองทัพทหารพลันมาหยุดอยู่ตรงหน้า เสียงทุ้มเข้มดังมาจากด้านหลัง “น้องสี่ เล่นกับเด็กยังต้องเล่นใหญ่เพียงนี้เลยหรือ”
ทหารด้านหลังโจวอ๋องเปิดทางออก เห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีดำ พลิกตัวลงจากหลังม้า ก้าวเดินมาทางนี้อย่างรวดเร็ว ด้านหลังเยี่ยนอ๋อง มีกองกำลังทหารม้าที่อยู่ในชุดเกราะสีดำเช่นกัน พร้อมด้วยอาวุธครบมือ
สีหน้าโจวอ๋องพลันเปลี่ยน ฝืนยิ้มออกมา “พี่สาม ท่านมาได้อย่างไร”
เยี่ยนอ๋องยื่นแส้ในมือให้กับองครักษ์ด้านข้าง เอ่ย “บังเอิญนัดกับน้องสิบสี่มาล่าหมู ได้ข่าวว่าวันนี้จวินมั่วจะมาถึงจึงมารับ ทำไมหรือ พวกเขาจาบจ้วงต่อน้องสี่แล้ว นั่นถึงสมควรตี” ระหว่างที่เอ่ย เยี่ยนอ๋องก็เดินผ่านโจวอ๋องมาหยุดอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว
“พี่สาม” มองเห็นเยี่ยนอ๋อง องค์หญิงฉังผิงจึงพ่นลมหายใจออกมา
“เสด็จลุง” เว่ยจวินมั่วยังคงสีหน้าเรียบนิ่ง เยี่ยนอ๋องตบไหล่ของเขา เอ่ย “ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว ชื่อเอ๋อร์พวกเขากลับไปถึงโยวโจวแล้ว” เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เยี่ยนอ๋องหันกลับมาหาโจวอ๋อง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสี่ น้องสิบสี่ยังรออยู่ตรงหน้า เจ้าจะไปล่าหมูกับพี่สามหรือจะเอาเยี่ยงไร”
สีหน้าโจวอ๋องตึงเครียดขึ้นมา เขาไม่เชื่อว่าพี่สามไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ สุดท้ายจึงอดไม่ได้ กัดฟันเอ่ย “พี่สาม เรื่องของซั่วเอ๋อร์จะปล่อยไปเยี่ยงนี้หรือ ข้าไม่ใช่พี่รองนะ” รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยนอ๋องหายไป เดิมเขาก็ไม่ใช่คนจิตใจดีโอบอ้อมอารีนัก เพียงไม่ยิ้มก็ยิ่งน่าเกรงขาม จ้องมองโจวอ๋องพลางเอ่ยเสียงเข้ม “น้องสี่ เรื่องของซั่วเอ๋อร์เป็นอย่างไร พี่สามไม่เชื่อว่าเจ้าไม่รู้ ทำไมหรือ ไม่กล้าแตกหักกับฮ่องเต้น้อยแห่งจินหลิง เลยจะมาลงกับหลานชายของตนเองอย่างนั้นหรือ”
โจวอ๋องกัดฟัน กวาดตามองเว่ยจวินมั่ว “หากไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ ซั่วเอ๋อร์คงจะไม่…”
เยี่ยนอ๋องหัวเราะหยัน เอ่ย “เกรงว่าเขาจะจัดการเซียวเชียนไหว แต่ซั่วเอ๋อร์เข้าไปยุ่งเองเสียมากกว่าหรือไม่”
“หรือว่าบุตรชายข้าตายแล้วจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ” โจวอ๋องไม่ยอม
เยี่ยนอ๋องยิ้มเย็น “ลูกชายเจ้าตายมีความสามารถก็ไปหาคนที่ฆ่าลูกเจ้าเสีย หากไม่มีความสามารถมาลงที่ข้า หรือว่าวันนี้ข้าพาคนไป เจ้าจะลงมือกับข้าอย่างนั้นหรือ”
โจวอ๋องปากสั่น สุดท้ายจึงก้มหน้าลง แม้อายุเขากับพี่สามจะห่างกันไม่ถึงหนึ่งปี แต่โจวอ๋องเองก็รู้ว่าตนเองนั้นสู้พี่สามไม่ได้ เพราะทั้งสองมีอายุใกล้เคียงกัน ร่ำเรียนตำรา ฝึกการต่อสู้มาด้วยกัน กระทั่งการแต่งงานก็ยังอยู่ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน อีกทั้งเขตปกครองยังอยู่ใกล้กันอีก ดังนั้นโจวอ๋องจึงมีความหวาดเกรงต่อพี่ชายผู้นี้มาตั้งแต่เกิด ความรู้สึกเช่นนี้แม้แต่กับอดีตองค์รัชทายาทเขาก็ไม่เคยสัมผัสได้
สีหน้าของเยี่ยนอ๋องจึงคลายลง ยกมือขึ้นตบไหล่ของเขา ถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ เรื่องของซั่วเอ๋อร์…ต่อไปหากมีเรื่องอันใดที่พี่สามช่วยเจ้าได้ ให้เจ้ารีบเอ่ยปาก”
ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง สีหน้าของโจวอ๋องก็คลายลงไม่น้อย เพียงนึกถึงบุตรชายของตนที่ต้องตายอยู่ในจินหลิง ดวงตาพลันแดงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เห็นเช่นนั้นเยี่ยนอ๋องจึงจำต้องถอนหายใจไม่เอ่ยสิ่งใดอีก น่าสงสารผู้เป็นบิดา ความจริงก็เหมือนกันทั้งนั้น หากบุตรชายของเขาเกิดเรื่องขึ้นที่จินหลิง เกรงว่าเขาคงนำกำลังพลบุกเข้าจินหลิงสังหารให้สิ้น โดยเฉพาะมือสังหาร เขาจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ โจวอ๋องหาเรื่องจวินมั่วก็เพียงเพราะหาที่ระบาย ต่อให้ตนเองไม่มา เกรงว่าเขาก็คงไม่ฆ่าเว่ยจวินมั่วจริงๆ หรอก