ตอนที่ 566 การขนส่งที่ไม่มีค่าขนส่ง (2)
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ แสดงท่าทีลำบากใจ “หากเป็นเช่นนี้ คนอื่นจะไม่คิดว่าพวกเราบุตรชายและลูกสะใภ้ไม่กตัญญูหรือเพคะ ปล่อยให้เสด็จแม่มาอยู่คนเดียว”
องค์หญิงฉังผิงอดไม่ได้หัวเราะออกมา มองไปยังพระชายาเยี่ยนอ๋อง เอ่ย “เอาล่ะพี่สะใภ้สาม พระองค์อย่าได้ทำให้เจ้าเด็กคนนี้ลำบากใจเลย อย่างไรก็คงเป็นความตั้งใจของจวินมั่วเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นนิสัยเย็นชาไม่ชอบคนเยอะมากมาย อย่างไรอู๋สยาก็ต้องรักษาชื่อเสียง เช่นนั้นหม่อมฉันเองคงไม่เกรงใจแล้วนะเพคะ หากพี่สะใภ้จัดเตรียมเรือนให้กับหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะอยู่ทั้งสองที่เลยเพคะ”
พระชายาเยี่ยนอ๋องอดไม่ได้หัวเราะออกมา ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เอ่ย “ช่างเถิด ความคิดของคนหนุ่มสาว เราคนแก่คงไม่เข้าใจ เพียงคิดว่าจวินมั่วและอู๋สยาต่างก็ยังเด็ก ออกไปอยู่แบบนั้นเกรงว่าบางอย่างอาจจัดการไม่ได้ เชียนชื่อเองเป็นข้าที่ไม่วางใจให้พวกเขาย้ายออกไป แต่มีน้องห้าอยู่ ข้ากับท่านอ๋องก็วางใจ”
“ขอบพระทัยเสด็จป้าที่ห่วงใยเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉินซื่อเองก็เอ่ย “พี่สะใภ้พึ่งมาก็จะย้ายออกไปแล้ว ข้ายังคิดว่าต่อไปจะได้มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาสักคนนะเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าวางใจ บ้านของเราสองคนคงจะอยู่ห่างกันไม่ไกล ไม่แน่ว่าข้าอาจมาเคาะประตูเป็นระยะทำให้เจ้าต้องรำคาญก็เป็นได้” เฉินซื่อเม้มริมฝีปากยิ้ม “มิกล้าเจ้าค่ะ มีพี่สะใภ้อยู่ด้วยข้ารู้สึกยินดียิ่งนักเจ้าค่ะ”
องค์หญิงฉังผิงยิ้ม เอ่ยถาม “เอ่ยเรื่องนี้แล้ว เรื่องบ้านพวกเจ้ามีแผนการเช่นไร”
หนานกงมั่วยิ้ม “หม่อมฉันคุยกับจวินมั่วแล้วเพคะ เราเองก็ไม่มีใคร ซื้อบ้านสามทางเข้าพร้อมกับสวนก็พออยู่แล้ว เดี๋ยวรอฉังเฟิงมา ให้เขาไปช่วยดูก็พอแล้วเพคะ เกรงว่าเขาเองก็ต้องซื้อบ้าน พอดีได้ซื้อพร้อมกันเพคะ”
พระชายาเยี่ยนอ๋องยิ้ม “บ้านสามทางเข้าเกรงว่าจะไม่เพียงพอ ข้าจำได้ว่า…ฝั่งถนนทิศตะวันออกมีเรือนอยู่หนึ่งหลัง เป็นเรือนของขุนนางฮั่นในสมัยเป่ยหยวนสร้างเอาไว้ น่าเสียดายที่สร้างไม่ทันเสร็จเป่ยหยวนก็สิ้นแล้ว เรือนหลังนั้นเป็นลักษณะแบบเจียงหนาน ไม่แน่ว่าเจ้ากับน้องห้าอาจจะชอบก็ได้ พอดีตอนนี้ยังว่างอยู่”
หนานกงมั่วลังเล “จะไม่ใหญ่ไปหรือเพคะ” นางกับเว่ยจวินมั่วคงไม่ได้อยู่บ้านบ่อยนัก องค์หญิงฉังผิงอยู่บ้านหลังใหญ่ว่างเปล่าเพียงคนเดียวจะรู้สึกอ้างว้างเกินไปหรือไม่ คิดกลับกัน อย่างไรเสด็จแม่ก็เป็นถึงองค์หญิง หากจะอยู่บ้านสามทางเข้าก็คงจะไม่เหมาะ หนานกงมั่วเองอยู่เรือนหรูหราอย่างเรือนจี้ชั่งนับว่าสบายใจ เรือนเล็กๆ ในบ้านหลังเล็กๆ ก็อยู่ได้ เพียงคิดถึงความสะดวกสบายลืมนึกไปถึงฐานะขององค์หญิง กำลังจะตอบตกลง ก็ได้ยินพระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยว่า “ตอนนี้มีพวกเจ้าเพียงสามคน อีกไม่กี่ปีก็ไม่แน่แล้ว”
หนานกงมั่วชะงัก เมื่อมีสติเข้าใจในสิ่งที่พระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ย ใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุม
ทว่าใบหน้าขององค์หญิงฉังผิงพลันมีรอยยิ้มเบิกบานมากขึ้น พยักหน้าหัวเราะ “พี่สะใภ้สามกล่าวถูกแล้ว”
หนานกงมั่วจึงจำต้องพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราอยู่ที่เรือนเถิดเพคะ เรือนที่เสด็จป้าบอกเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูกับจวินมั่ว” พระชายาเยี่ยนอ๋องพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นี่สิจึงจะดี เดี๋ยวข้าจะให้ผู้ดูแลติดต่อกับเจ้าของเรือนพาพวกเจ้าไปดู” พระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็เข้าใจถึงเหตุผลที่เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วย้ายออกไป ทว่าไม่ได้เอ่ยถึงว่าจะช่วยออกเงินซื้อเรือนให้พวกเขา ความจริงพระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็โล่งใจกับความคิดนี้ ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว เพียงแต่เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ก็คงยากที่จะรู้สึกเกรงอกเกรงใจ เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นคนอื่น หากคิดมากเกินไปยากที่จะเลี่ยงการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังขึ้นมา เวลาผ่านไปนานคงจะกระอักกระอ่วน มิสู้ทุกคนต่างคนต่างอยู่ มาเที่ยวเล่นเจอกันบ้างบางครั้งบางคราคงจะสบายใจกว่า
“ขอบพระทัยเสด็จป้าเพคะ” หนานกงมั่วเองก็ไม่เกรงใจ พยักหน้าพลางเอ่ยขอบคุณ
เมื่อพูดคุยเป็นเพื่อนพระชายาเยี่ยนอ๋องและองค์หญิงฉังผิงเสร็จแล้ว หนานกงมั่วและเฉินซื่อจึงเอ่ยลาไปพร้อมกัน เฉินซื่อเอ่ยปากชวนหนานกงมั่วไปนั่งเล่นที่เรือนตนเอง แน่นอนว่าหนานกงมั่วพยักหน้าตอบรับไปแล้ว เรือนของเฉินซื่อและเซียวเชียนชื่อเป็นเรือนสองทางเข้าที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของจวนเยี่ยนอ๋อง ตอนนี้เซียวเชียนชื่อมีเพียงบุตรีหนึ่งคน ภรรยาเอกและอนุภรรยาหนึ่งคน อยู่แล้วไม่ถือว่าอึดอัด เมื่อเดินเข้าไปด้านใน แม่นมก็อุ้มเด็กออกมา เด็กทารกนอนอยู่ในห่อผ้าร้องไห้สะอึกสะอื้น เฉินซื่ออุ้มขึ้นมาดู ปลอบเบาๆ จากนั้นก็ส่งคืนให้แม่นม ฝากฝังให้ดูแลเล็กน้อย
หนานกงมั่วหันกลับไปมองสีหน้าที่เรียบนิ่งของเฉินซื่อ ไม่รู้ว่าชอบเด็กคนนี้หรือไม่
โลกใบนี้มักไม่ยุติธรรมกับสตรีเช่นนี้ การเป็นภรรยาเอกก็มีเรื่องให้กังวลใจไม่น้อย ไม่เพียงไม่อาจไม่พอใจ ยังต้องรักลูกของอนุภรรยาให้เป็นดั่งลูกของตนเอง จะทำได้หรือไม่นั้นไม่ต้องเอ่ยถึง อย่างน้อยภายนอกนั้นต้องทำให้ได้ มองสีหน้าเรียบนิ่งของเฉินซื่อ หนานกงมั่วลองจินตนาการหากเว่ยจวินมั่วอุ้มเด็กกลับมา…ตนเองจะตบหน้าเด็กคนนั้นหรือตบหน้าเว่ยจวินมั่วกันนะ
“พี่สะใภ้เจ้าคะ” เมื่อไล่แม่นมออกไปแล้วเฉินซื่อจึงเอ่ยเรียกหนานกงมั่วที่กำลังเหม่อลอย เฉินซื่อรู้สึกพึงพอใจที่หนานกงมั่วไม่ได้มีทีท่าจะใส่ใจเด็กคนนั้นเช่นเดียวกับคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ท้องของอานซื่อก็ได้สี่เดือนแล้ว ทว่าท้องของตนเองกลับไม่มีความเคลื่อนไหว ใช่ว่าเฉินซื่อไม่ร้อนใจ เห็นอยู่ว่าเยี่ยนอ๋องนั้นให้ความสำคัญกับหลานชายและหลานสะใภ้มากเพียงใด หากพี่สะใภ้ชอบเด็กคนนี้ขึ้นมา ตำแหน่งของอานซื่อต่อหน้าผู้สืบทอดและพระชายาเยี่ยนอ๋องก็คงสูงขึ้นไม่น้อย
โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงฉังผิงหรือหนานกงมั่ว ปฏิบัติกับเด็กผู้นี้เพียงดูหน้าดูตาเท่านั้น นี่ทำให้เฉินซื่อลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
หนานกงมั่วและองค์หญิงฉังผิงแน่นอนไม่ทำเรื่องตบหน้าภรรยาเอก หากเฉินซื่อมีบุตรก็ยังดี ยามนี้เฉินซื่อยังไม่มีทั้งบุตรชายและบุตรสาว หากดีกับเชื้อสายรองเกินไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี
หนานกงมั่วได้สติกลับมา ยิ้มเขินอายให้เฉินซื่อ เอ่ย “คิดเรื่องอันใดบางอย่าง ละอายต่อน้องสะใภ้แล้ว”
เฉินซื่อส่ายหน้า “พี่สะใภ้มาถึงโยวโจว มีอันใดไม่คุ้นชินหรือไม่เจ้าคะ หากมีก็รีบเอ่ยมาได้ เมื่อครั้งที่ข้ามาแรกๆ นั้นนับว่ายากลำบาก” หนานกงมั่วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “เมื่อครั้งข้ายังเด็กก็เที่ยวเล่นข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีอันใดไม่คุ้นชินหรอก”
“ข้าได้ยินเสด็จแม่บอก ช่างน่าอิจฉาพี่สะใภ้ ชีวิตของข้าเดินทางไกลที่สุดก็คงเดินทางจากจินหลิงมายังโยวโจวแล้ว เมื่อมาถึงโยวโจวแล้ว แม้แต่ประตูเมืองก็ไม่เคยออกด้วยซ้ำ” เฉินซื่อถอนหายใจ หนานกงมั่วเองก็รู้ สตรีส่วนใหญ่เกิดมาก็เป็นเช่นนี้ เฉินซื่อเดินทางจากจินหลิงมายังโยวโจวนับว่าแต่งงานไกลแล้ว เพียงแต่เช่นนี้ก็ยิ่งเงียบเหงา บ้านของมารดาตนเองอยู่ห่างไกลเป็นพันลี้ เด็กสาวอายุสิบกว่าเดินทางมาไกลพร้อมกับสาวใช้ไม่กี่คนเพื่อแต่งงานกับคนที่เรียกได้ว่าแปลกหน้า ความเหงาในช่วงแรกนั้นไม่บอกก็รู้ได้
หนานกงมั่วคุยกับเฉินซื่อเรื่องจินหลิงเล็กน้อย เคยได้ยินเรื่องของตระกูลเฉินมาบ้าง น่าเสียดายที่นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่รู้สิ่งใดมากนัก เฉินซื่อกลับตั้งอกตั้งใจฟัง ทั้งสองพูดคุยกันสนุกสนาน
จวนเยี่ยนอ๋องผ่านแต่ละวันไปอย่างเอ้อระเหย ไม่มีเรื่องให้กังวลใจ ชีวิตในแต่ละวันจัดสรรเวลาโดยพระชายาเยี่ยนอ๋องและเฉินซื่อ หลายวันมานี้หนานกงมั่วเริ่มสงสัยว่าตนเองอ้วนขึ้นหรือไม่ ในตอนที่หนานกงมั่วรู้สึกเบื่อหน่ายคุณชายฉังเฟิงก็มาถึง