ตอนที่ 567 คุณชายอย่างข้าจะไม่ดื่มชาอีกแล้ว (1)
มองดวงตาเป็นประกายของหนานกงมั่ว คุณชายฉังเฟิงจึงตกใจ “แม่นางมั่ว…คุณชายอย่างข้ารู้ตัวเองดีว่าข้านั้นหล่อเหลางดงามดั่งต้นหยก แต่เจ้ามองข้าเช่นนี้…จะให้ข้าคิดเช่นไร”
หนานกงมั่วกลอกลูกตาไปมาส่งให้เขา ส่งสายตาดูหมิ่นเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง ท่านเอาที่ไหนมาบอกว่าตนเองหล่อเหลางดงามดั่งต้นหยก
ลิ่นฉังเฟิงไม่พอใจ “ข้ากลายเป็นแบบนี้เพราะใครกันเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทิ้งไว้เพื่อให้ข้าขนมาโยวโจวข้าต้องใช้เวลาไปมากเพียงใด” ที่สำคัญก็คือ ของพวกนั้นไม่ใช่ของเขา ตลอดเส้นทาง หากถูกปล้นไปคนที่ปล้นคงได้ตกใจตายเป็นแน่
หนานกงมั่วจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีทรัพย์สินมากมายที่ให้คุณชายฉังเฟิงขนมายังโยวโจว โดยไม่จ่ายค่าขนส่งแบบนั้น
ทันใดนั้นจึงยิ้มเขินอาย เอ่ย “ลำบากคุณชายฉังเฟิงแล้ว มา จือซูยกน้ำชาให้คุณชายฉังเฟิงสักหน่อย”
ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงในลำคอ “ต้องอย่างนี้สิ เว่ยจวินมั่วเล่า”
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “ออกไปกับเยี่ยนอ๋องแล้ว”
ลิ่นฉังเฟิงดึงสมุดหนาๆ เล่มหนึ่งออกมาจากหน้าอกและโยนให้หนานกงมั่ว เอ่ย “สินสมรสของเจ้าและขององค์หญิงฉังผิง รวมทั้งกิจการเบื้องหน้าของวังจื่อเซียวขายไปหมดแล้ว ทั้งหมดหนึ่งล้านสี่แสนสองหมื่นตำลึง นี่คือบัญชีสมบัติของเจ้าและทรัพย์สินส่วนตัวของเว่ยจวินมั่ว ทั้งหมดถูกส่งมายังโยวโจวแล้ว ดูเอาเอง นอกจากนี้ ตำราในเรือนจี้ชั่งตามคำสั่งของเจ้า ยกให้ตระกูลเซี่ยเก็บรักษาไว้ที่หอตำราตระกูลเซี่ย และให้คนในสำนักศึกษาตระกูลเซี่ยอ่านได้ คัดลอกได้ ต่อไปหากมีโอกาสก็เอากลับคืนมาได้”
“ลำบากท่านแล้ว” หนานกงมั่ววางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยราวกับเป็นเรื่องง่าย ทว่าสิ่งของพวกนั้นทั้งเยอะทั้งวุ่นวาย หนานกงมั่วเพียงคิดยังปวดหัว ลิ่นฉังเฟิงสามารถจัดการได้รวดเร็วเพียงนี้นับว่าไม่ง่ายเลย
คุณชายฉังเฟิงยักไหล่ เอ่ย “สำนักเพื่อการกุศลที่เจ้าเปิด อีกทั้งเงินที่ให้สำนักศึกษาตระกูลเซี่ย ข้าสั่งคนที่อยู่จินหลิงแล้วว่าให้ส่งไปเช่นเดิมในทุกๆ เดือน”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยถาม “กิจการที่เจ้าจัดการ ถูกใครซื้อไปหรือ” กิจการกว่าล้านตำลึง มิใช่ใครที่ไหนจะควักเงินออกมาซื้อได้ง่ายๆ ลิ่นฉังเฟิงจัดการขายได้รวดเร็วเพียงนี้แน่นอนว่าต้องเจอกับผู้ซื้อรายใหญ่แล้ว
ลิ่นฉังเฟิงยกยิ้มมุมปาก เอ่ย “ตระกูลจู”
ทั่วทั้งจินหลิง สามารถควักเงินมากมายเพียงนั้นออกมาได้ในครั้งเดียวก็คงมีแต่ตระกูลจูแล้ว ลิ่นฉังเฟิงนั้นไม่สนใจว่าจะขายให้ใคร ขอเพียงพวกเขาได้เงินก็เพียงพอแล้ว แต่ดูแล้ว ตระกูลจูดูจะร่ำรวยมีอำนาจมากขึ้นแล้ว
หนานกงมั่วเองไม่ตกใจ พยักหน้า เอ่ย “คุณหนูใหญ่ตระกูลจูร้ายกาจแล้ว” ตระกูลจูรุ่นนี้ผู้ที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาใช้งานได้นั้นมีเพียงไม่กี่คน อย่ามองว่าตนไม่ชอบจูชูอวี้ที่กลับกลอกไปมา แต่อาศัยที่นางสามารถพาตนเองมาอยู่ในจุดนี้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ต่อให้ความรุ่งเรืองนี้จะอยู่ได้ไม่นานหรือมันไม่มีอยู่จริงก็ตาม
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นน่ะสิ คุณหนูตระกูลจูเก่งกาจกว่าเจ้า ซิงเฉิงจวิ้นจู่ตำแหน่งที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเจ้าก็ทำหายไปแล้ว เพียงเจ้าไป นางก็ได้ขึ้นเป็นจวิ้นจู่ ตอนนี้เป็นซั่นจยาจวิ้นจู่แล้ว”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “ยามนี้ตระกูลจูเป็นตระกูลที่สนับสนุนฝ่าบาทด้วยความภักดีที่สุดแล้ว กุ้ยเฟยผู้นั้นก็ใกล้จะคลอดเต็มที ว่ากันว่าเป็นเด็กผู้ชาย ส่วนจูชูอวี้ ยอมรับตาเฒ่าโจวเซียงนั้นเป็นปู่ ตาเฒ่าโจวเซียงนั่นเคยถูกอดีตฮ่องเต้ทำลายล้างตระกูล เซียวเชียนเยี่ยจึงต้องไว้หน้าเขา”
“โจวเซียงเห็นตระกูลจูอยู่ในสายตาหรือ” หนานกงมั่วประหลาดใจ นางยังนึกว่าตาเฒ่าโจวเซียงนั่นดื้อด้าน คงจะไม่เห็นตระกูลจูอยู่ในสายตาหรอก
ลิ่นฉังเฟิงยิ้ม “นางเป็นที่รักมากกว่าเจ้า ได้ยินมาว่าแม่นางมั่วเจอพวกเขาครั้งแรกก็เล่นเอาเสียคนแก่พวกนั้นเป็นลมมิใช่หรือ”
“จวินมั่วเองก็มีส่วนร่วม” หนานกงมั่วแบ่งปันความดีความชอบอย่างไม่ลังเล โบกปัดมือ พลางเอ่ย “ช่างเถิด ฝั่งจินหลิงให้คนจับตามองไว้ก็พอ อย่างไรช่วงนี้ก็คงไม่มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับเรา นอกเสียจากเซียวเชียนเยี่ยกล้าตามมาสังหารถึงโยวโจว”
ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้า “จะว่าไปก็ถูก ตอนนี้พวกเจ้ามีแผนการเช่นไร”
หนานกงมั่วเอ่ย “ตามที่เยี่ยนอ๋องเอ่ยบอก เว่ยจวินมั่วต้องเข้าร่วมกองทัพ แต่ก่อนหน้านั้นต้องจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้เรียบร้อยก่อน ช่วงนี้ดูบ้านไว้ไม่กี่หลัง สองหลังอยู่ติดกัน หลังหนึ่งใหญ่ หลังหนึ่งเล็ก ท่านก็ซื้อด้วยกันเถิด หรือว่าท่านอยากไปดูเอง” ลิ่นฉังเฟิงหน้าเจื่อนลงทันที “ข้านึกว่าแม่นางมั่วจะใจดีรับเลี้ยงชายโสดเช่นข้าเสียอีก”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองนั้นไม่เป็นไร แต่รอคุณชายฉังเฟิงได้เจอคนที่ถูกใจแล้ว หรือว่าไม่คิดจะซื้อบ้าน”
ลิ่นฉังเฟิงโบกมือ “ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน” คนคนเดียวอยู่ในเรือนหลังใหญ่ ลิ่นฉังเฟิงเพียงแค่คิดก็รู้สึกว่าตนเองน่าสงสาร ไม่เอาหรอก
หนานกงมั่วเองไม่ใส่ใจ ยักไหล่ เอ่ย “แล้วแต่ท่าน เดี๋ยวบอกจวินมั่วกับเสด็จแม่สักหน่อยก็พอแล้ว” อย่างไรเรือนก็กว้างใหญ่ ย่อมไม่กลัวว่าจะอยู่ไม่ได้
“คนของวังจื่อเซียว…” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “เรื่องนี้ก่อนหน้านี้จวินมั่วคุยกับข้าแล้ว นอกจากข่าวกรองและทำกิจการ มือสังหารของวังจื่อเซียวล้วนกระจายกันมายังโจวโจว คนที่ไม่อยากอยู่ก็ให้เงินไปตามทางของตนเอง คนที่ยังอยู่อยากเข้าร่วมกองทัพก็เข้าร่วม คนที่ไม่อยากเข้าร่วมก็อยู่เป็นองครักษ์ รอซื้อเรือนใหม่แล้ว ก็ต้องมีองครักษ์มิใช่หรือ” ข่าวกรองและกิจการวังจื่อเซียวนั้นความจริงอยู่ด้วยกัน ทำกิจการก็เพื่อหาข่าว ในขณะที่หาข่าวก็ถือว่าทำกิจการหาเงินไปด้วยเท่านั้น
“มือสังหารขั้นหนึ่งของวังจื่อเซียวทั้งหมดมียี่สิบแปดคน ขั้นสองมีหนึ่งร้อยแปดคน เลือกที่จะไปมีไม่ถึงสิบคน อีกทั้งยังเป็นพวกที่อยู่ปลายแถว” มือสังหารใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ นี่เป็นการเอาชีวิตของตนเองมาทำธุรกิจ แม้ว่าจุดจบของมือสังหารอันดับหนึ่งจะไม่ได้ดีนัก บางคนไม่มีทางไปจึงมาเป็นมือสังหาร ดังนั้นสามารถมีสถานะและอนาคตที่สามารถเปิดเผยได้ คนส่วนใหญ่จึงรู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร คนที่เลือกที่จะไปส่วนใหญ่แล้วเป็นคนหนุ่ม กระทั่งไม่รู้ว่าอาชีพมือสังหารนั้นเป็นอาชีพที่น่าสงสาร
“มือสังหารขั้นสามเล่า”
ลิ่นฉังเฟิงกลอกตา “วังจื่อเซียวไม่มีมือสังหารขั้นสาม”
หนานกงมั่วยิ้มร่า “เอาล่ะ คนเหล้านี้ข้าจะจัดการเอง คุณชายฉังเฟิงมีแผนเช่นไร”
ลิ่นฉังเฟิงปรายตามองนาง “ข้าขายชีวิตให้แม่นางมั่วแล้วมิใช่หรือ”
“อย่าเลย ข้าคงไม่กล้าใช้งานยอดฝีมืออย่างคุณชายฉังเฟิงหรอก” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ท่านจะทำกิจการต่อหรือไปอยู่กองทัพกับข้า” หนานกงมั่วคิดว่าลิ่นฉังเฟิงจะเลือกอย่างหลัง เพราะหากเขาชอบทำการค้าคงไม่ไปแฝงตัวอยู่ในยุทธภพกับเว่ยจวินมั่วตั้งแต่แรก
เป็นเช่นนั้น ดวงตาของคุณชายฉังเฟิงวาววับ ลูบปลายคาง “ไปเล่นในกองทัพสิ นั่นสามารถออกไปนอกกำแพงและเอาชนะพวกป่าเถื่อนเป่ยหยวนมิใช่หรือ ข้ายังเคยสังหารคนเป่ยหยวนเลย”
“ดังนั้น”
“ดังนั้น…รบกวนแม่นางมั่วหาผู้ดูแลคนใหม่แล้ว” ลิ่นฉังเฟิงยิ้มตาหยี เอ่ย “คุณชายอย่างข้าจะไปอยู่ในสนามรบ ไม่เล่นลูกคิดแล้ว”
ข้ารู้อยู่แล้วว่าหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้เชื่อฟังไม่ง่ายที่จะจับเอาไว้ได้