ตอนที่ 569 คุณชายอย่างข้าจะไม่ดื่มชาอีกแล้ว (3)
“ช่างงดงามจริงๆ” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง รีบเดินเข้ามาหา พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าแม่นางมีนามว่าอย่างไร ข้าจะเลี้ยงน้ำชาแม่นาง ขอแม่นางไว้หน้าข้าได้หรือไม่”
หนานกงมั่วไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ลิ่นฉังเฟิงที่อยู่ด้านข้างยื่นพัดมาขวางมือของเขาที่ยื่นมาเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้ ได้โปรดให้เกียรติด้วย”
เมื่อมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของลิ่นฉังเฟิง ความโกรธก็พุ่งขึ้นมา บุรุษทางเหนือนั้นดูหยาบกระด้างห้าวหาญ แม้คิดว่าตนเองนั้นมีความเป็นบุรุษมากกว่าชายชาวเจียงหนาน ทว่ายังเข้าใจว่าหน้าตาอย่างลิ่นฉังเฟิงต่างหากที่เป็นที่ชื่นชอบของสตรี ดังนั้นจึงปรายตามองลิ่นฉังเฟิง เอ่ย “ไอ้หน้าขาวที่ไหนกัน ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังพูดคุยอยู่กับแม่นาง”
คุณชายฉังเฟิงรู้สึกสนุกขึ้นมา กล้าเรียกเขาว่าไอ้หน้าขาวช่างหาได้ยากยิ่ง หันกลับไปมองหนานกงมั่ว ดวงตาลิ่นฉังเฟิงกลอกไปมา เคาะจมูกเบาๆ ไม่เอ่ยอันใด
เห็นเขาเป็นเช่นนั้น ชายคนนั้นยิ่งได้อกได้ใจขึ้นมา “แม่นาง ไอ้หน้าขาวแบบนี้จะมีประโยชน์อันใด เจ้ามาดื่มชากับพวกข้าเถิด” คนที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาเองก็สนับสนุน อีกทั้งยังส่งสายตาเย้ยหยันให้กับลิ่นฉังเฟิงอีกด้วย
หนานกงมั่ววางถ้วยชาลง เงยหน้าขึ้นไปมองพวกเขา เอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร”
คนคนนั้นดีอกดีใจขึ้นมา เอ่ยอย่างทะนงตน “ข้าคือเซวียปิน บุตรชายคนโตเชื้อสายหลักของรองแม่ทัพเซวียเจินแห่งกองทัพเยี่ยนอ๋อง”
หนานกงมั่วมองสำรวจชายตรงหน้า ความจริงก็เป็นเพียงเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีก็เท่านั้น ท่าทางภูมิอกภูมิใจนั่นยิ่งดูเด็กลงไปอีก หนานกงมั่วอดกลืนประโยค ‘ข้าเป็นภรรยาของผู้บัญชาการในอนาคตของบิดาเจ้า’ กลับคืนไป นางเองก็ดูออก แม้เด็กเหล่านี้จะดูวางท่า ทว่าดวงตายังดูบริสุทธิ์ ปกติก็คงเอ่ยหยอกล้อไปทั่วแบบนี้ แต่ไม่ถึงขึ้นสร้างเรื่องอันใดผิดๆ
สองมือของหนานกงมั่วประคองถ้วยชา หันกลับไปมองเขาอย่างไม่แน่ใจ “รองแม่ทัพเซวียหรือ ข้าพึ่งมาถึงโยวโจวยังไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่…ต่อให้รองแม่ทัพเซวียจะเก่งกาจ แล้วเจ้าภูมิใจอันใด ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย”
“เจ้า…” เห็นชัดว่าเซวียปินไม่คิดว่าสตรีท่าทางอ่อนหวานจะตอบเขากลับมาเช่นนี้
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “อยู่ทางใต้เวลาแนะนำตัวล้วนแล้วแต่บอกว่าข้าเป็นใคร ที่แท้ทางเหนือแนะนำตัวด้วยการบอกว่าข้าเป็นลูกของใครอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นใบหน้าพลันแข็งค้างขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไร้ความสามารถแม้แต่จะแนะนำตัวยังต้องยกเอาชื่อบิดามาด้วยหรอกหรือ แม้พวกเขาจะไม่มีความสามารถก็ตามเถิด
ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะ เอ่ย “แม่นางมั่ว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เจ้าก็ควรบอกว่าเจ้าเป็นบุตรีของใคร”
หนานกงมั่วนิ่งคิดจริงจังอยู่ชั่วครู่ บิดาของนางอยู่ในห้องขัง ไม่แน่ว่าจะถูกตัดหัวเมื่อใด คงจะไม่มีอันใดต้องเอ่ยถึง เอ่ยขึ้นด้วยความสัตย์จริง “บิดาข้าคงสู้ไม่ได้” ก่อนหน้านี้นางเคยมีบิดาที่สามารถโอ้อวดได้แต่นางไม่เคยทำ ยามนี้ต้องโอ้อวดบ้างนางกลับไม่อาจโอ้อวดได้ ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้า
เจ้ายังสามารถโอ้อวดแม่สามี โอ้อวดลุงของเจ้า คุณชายฉังเฟิงกระตุกยิ้มอยู่ในใจ
ด้านข้าง คุณชายเซวียใกล้จะเป็นบ้าเสียแล้ว เขาไม่ใช่คนโง่มีหรือจะฟังไม่ออกว่าสองคนนี้กำลังล้อเลียนพวกเขา
“เด็กนี่ ไอ้หน้าขาว ข้าพูดกับเจ้าดีๆ ยังมาหาเรื่องข้าอีกหรือ” เซวียปินเอ่ยเสียงดังด้วยความโกรธ แขกคนอื่นๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบหลบ แม้คุณชายพวกนี้จะไม่เคยมีเรื่องถึงขั้นลงไม้ลงมือ ทว่าเมื่อลงมือขึ้นมาก็คงจะเป็นปัญหาไม่น้อย
“ไอ้หน้าขาวอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มของคุณชายฉังเฟิงชัดเจนขึ้น ชี้ไปด้านหลัง เอ่ย “พวกเจ้าดูด้านหลังนั่นสิ” ทุกคนชะงัก หันกลับไปมองยังบันไดโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าชายในอาภรณ์สีครามผู้นี้มายืนมองพวกเขาอยู่ตรงทางขึ้นบันไดตั้งแต่เมื่อไร
“โอ้ ไยจึงมีไอ้หน้าขาวเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วเล่า วันนี้ออกจากบ้านไม่ดูฤกษ์ยามเลยจริงๆ” หนึ่งในเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น เพียงมองหน้าเขาก็รู้แล้วว่า เขามีความแค้นต่อบุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาอย่างไร
“…” คุณชายฉังเฟิงยิ้มจนตาหยี ยกนิ้วหัวแม่มือให้คนที่เอ่ยเมื่อครู่
เซวียปินเองก็มองกลับไป นั่นน่ะสิ คนผู้นี้หล่อเหลาเสียยิ่งกว่าคนที่นั่งยิ้มอยู่ตรงนั้นอีก โตมาถึงเพียงนี้ยังไม่เคยเห็นบุรุษใดงดงามเท่านี้มาก่อน แต่ดูแล้วไม่เหมือนคนที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ ไม่รู้ว่าเพราะเกิดในตระกูลแม่ทัพหรือเพราะสัญชาตญาณ
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร”
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองคนอื่นๆ พร้อมเดินมานั่งลงด้านข้างหนานกงมั่ว คุณชายฉังเฟิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเล่นพัดในมือ “จวินมั่ว คุณชายเซวียผู้นั้นอยากเลี้ยงน้ำชาแม่นางมั่ว”
เว่ยจวินมั่วเงยหน้ามองขึ้นไป เซวียปินสันหลังเย็นวาบขึ้นมาทันใด
“อยากดื่มชาหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “มานั่งลง ข้าจะเลี้ยงน้ำชาเจ้า”
น้ำเสียงของเขาฟังไม่ออกถึงความโกรธใดๆ แต่เซวียปินรู้สึกว่าหากนั่งลงไปคงมิใช่เรื่องดีแน่ ทว่าน้ำเสียงเย็นชานั้นกลับทำให้เขาไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หันกลับไปมองสหายของตน จำต้องนั่งลงช้าๆ เว่ยจวินมั่วยกกาน้ำชาเทใส่ถ้วยชาตรงหน้าเขา “ดื่ม”
เซวียปินเงยหน้าขึ้นมามองสบกับดวงตาสีม่วงของคนตรงหน้าเขา สมองมีแสงสว่างพาดผ่าน ดวงตาของเซวียปินเบิกโต นี่…นี่ไม่ใช่…ไม่ใช่…
บุตรชายขององค์หญิงฉังผิง หลานชายของเยี่ยนอ๋อง ว่ากันว่าดวงตามีสีม่วงมาตั้งแต่กำเนิด คิดมาถึงตรงนี้ เซวียปินแทบอยากตบหน้าตนเองสักครั้ง ก่อนหน้านี้สองวันยังได้ข่าวว่าคุณชายเว่ยพาองค์หญิงฉังผิงและภรรยาที่เคยถูกแต่งตั้งเป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่มาถึงโยวโจว วันนี้ได้พบกับสตรีงดงามคนหนึ่ง เมืองโยวโจวไหนเลยจะมีสตรีงดงามเพียงนี้ ข้าช่างโง่เสียจริง
“ดื่ม”
ความกดดันที่ส่งมาทำให้เซวียปินไม่กล้าขยับตัว ไตร่ตรองถึงสถานะของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งตนเองยังเป็นฝ่ายผิด เซวียปินจึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มจนหมดอย่างว่าง่าย
เว่ยจวินมั่วยกกาน้ำชาขึ้นมาอีกครั้ง เทลงไปจนเต็มถ้วย แม้ไม่เอ่ยสิ่งใดทว่าเซวียปินกลับเข้าใจด้วยตนเอง เจ้าอยากดื่มชามิใช่หรือข้าจะเลี้ยงเจ้าให้พอ
เซวียปินใบหน้าขมขื่น ยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด ไม่ทันระวังไปหยอกล้อภรรยาของผู้อื่น ต้องทำให้เขาหายโกรธจึงจะถูก ก็แค่ดื่มชามิใช่หรือ ข้าจะดื่ม
ชั่วพริบตาพลันดื่มชาไปแล้วกว่าเจ็ดแปดถ้วย เซวียปินเรออกมาอย่างอดไม่ได้ คุณชายที่เคยยืนชมความสนุกอยู่อีกฝั่งพลันเงียบสงบลง คนที่ดูอยู่รอบๆ รู้สึกแปลกใจขึ้นมา เด็กหนุ่มที่ไหนที่ทำให้คุณชายแห่งโยวโจวพวกนี้ต้องสงบเสงี่ยมเพียงนี้
ลิ่นฉังเฟิงมองเซวียปินเล็กน้อย ใครใช้ให้เขาทำให้เจ้าเด็กเว่ยจวินมั่วนี่ไม่พอใจเล่า
เทน้ำชาลงไปจนเต็มถ้วยอีกครั้ง เซวียปินเริ่มรับไม่ไหว “เอ่อ เมื่อครู่เป็นข้าเองที่ไม่ถูก ข้ามีตาหามีแววไม่ หรือว่า…ท่านจะตีข้าก็ได้” หากดื่มต่อไปข้าคงได้ตายแน่
ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะออกมา เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “นี่เจ้าคิดจะให้เขาตีเจ้าหรือ ครั้งที่แล้วเขาลงมือ ขาก็ใช้การไม่ได้แล้ว อ้อ นั่นคือเรื่องเมื่อปีที่แล้ว” เจ้าคงไม่คิดว่าเว่ยจวินมั่วจะตีใครเพียงแค่ระบายความโกรธเล็กๆ น้อยๆ อย่างนั้นใช่หรือไม่ เจ้าเด็กนี่นั้นร้ายกาจโหดเหี้ยมเป็นที่สุด