เกลี่ยสมุนไพรที่ยังชื้นออก อาศัยที่วันนี้แดดไม่เลวตากผึ่งอีกสักครั้ง ถือโอกาสเก็บส่วนที่มีคุณภาพคัดออกมาด้วย เมื่อจัดการเรียบร้อยก็กลับไป หนานกงมั่วจึงหยิบตำราแพทย์ขึ้นมานั่งศึกษาอยู่ในห้อง ไม่ไกลออกไปมีนายทหารที่เดินผ่านไปมาบ้างเป็นบางครั้ง อดไม่ได้เหลือบมองเข้ามาดูทว่าไม่นานก็ไป ยามนี้เหล่าทหารกำลังทำงานอยู่ในสวน เว่ยจวินมั่วเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าต้องไปคอยกำกับดูแล
เมื่อเบื่อไม่มีอะไรทำ หนานกงมั่วจึงลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
“ฮูหยิน” เด็กหนุ่มวัยสิบสามสิบสี่มายืนอยู่ตรงหน้านาง เอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม
“หืม” หนานกงมั่วชะงัก “เจ้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มเอ่ย “ข้าน้อยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในกองร้อยของผู้บังคับการกองร้อยเว่ยขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าติงเสียวเถี่ย”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “เจ้ามาทำอันใดที่นี่”
เด็กที่ชื่อติงเสียวเถี่ยผู้นั้นยิ้มตาปิดจนไม่เห็นดวงตา “ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยให้ข้าน้อยมาติดตามฮูหยินขอรับ บอกว่า…บอกว่าฮูหยินจะสอนข้าน้อยได้” แม้ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้งดงามราวกับเซียนที่อายุมากกว่าตนไม่มากผู้นี้จะสอนอันใดตนเองได้ ทว่าก่อนจะเข้ามาอยู่ในกองทัพมารดาบอกเอาไว้ว่าให้เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
หนานกงมั่วมองสำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้า เอ่ย “เจ้าพึ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพหรือ”
ติงเสียวเถี่ยลูบหน้าผาก เอ่ยด้วยท่าทางขัดเขิน “ข้าน้อยเข้ามาอยู่ในกองทัพได้สองเดือนแล้วขอรับ ท่านพ่อของข้า…ตายจากไปเมื่อฤดูหนาว”
หนานกงมั่วพยักหน้าเข้าใจทันใด ครอบครัวทหารของอาณาจักรเซี่ยก็เป็นเช่นนี้ เพียงมีหนึ่งคนเป็นทหาร รุ่นต่อไปก็ต้องมาเป็นทหาร บิดาตายแล้วก็ต้องมีบุตรชายมารับหน้าที่ในกองทัพต่อไป เพียงแต่เด็กน้อยเท่านี้คงอายุยังไม่ถึงสิบสามกระมัง
“เจ้าอายุเท่าใดแล้ว ครอบครัวเจ้ามีเจ้าเป็นบุตรชายคนเดียวหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ติงเสียวเถี่ยส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ข้าน้อยยังมีพี่ชายหนึ่งคนขอรับ พี่ชายอายุมากสักหน่อยอยู่ดูแลท่านแม่ ข้าอายุน้อยเลยต้องมาร่วมกองทัพ”
หนานกงมั่วถอนหายใจ “ทำสงครามอาจตายได้ เจ้าไม่กลัวหรือ”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าใสซื่อมีร่องรอยของความหวาดกลัว เนิ่นนานจึงส่ายหน้า เอ่ย “ไม่กลัวขอรับ หากข้าไม่มา…พี่ใหญ่ก็ต้องมา ท่านแม่กับหลานอยู่ที่บ้านก็จะไม่มีใครดูแลแล้ว” หนานกงมั่วมองนิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเถิด ต่อไปเจ้าก็ติดตามข้าเถิด”
“ขอรับ ฮูหยิน” ติงเสียวเถี่ยเอ่ยด้วยท่าทางยินดี แม้เขาอายุยังน้อยแต่ใช่ว่าจะไม่รู้อันใด ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยและฮูหยินต่างก็เป็นคนดี ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยเพียงเห็นว่าเขายังเด็ก จึงให้เขามาติดตามฮูหยินและเพื่อไม่ให้เขาต้องทำงานหนักเกินไปก็เท่านั้น
“ไปดูข้างนอกกัน” หนานกงมั่วเอ่ย ติงเสียวเถี่ยรีบนำทางไป ได้ยินเสียงคนด้านหลังเอ่ยถาม “รู้หนังสือหรือไม่”
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ ครอบครัวทหารเช่นพวกเขาน้อยมากที่จะส่งลูกไปโรงเรียนอย่างจริงจัง อย่างไรต่อให้เรียนดีเพียงใดก็ไม่อาจได้สอบจอหงวน มิสู้เก็บเงินเอาไว่เสียจะดีกว่า ชาวบ้านทั่วไปใครก็ไม่มีเงินมากนัก หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ต่อไปเรียนวันละสิบตัว” แม้ติงเสียวเถี่ยจะไม่เข้าใจว่าเพื่ออันใด ทว่าก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
พื้นที่แปลงนาด้านนอกไม่ไกลออกไปมากนักนั่นเป็นของกองทัพของจูหง เมื่อถึงเวลาออกรบต้องอยู่ในสนามรบ เมื่อว่างจากการรบต้องฝึกฝนและทำเกษตร ทำการเกษตรก็ไม่ใช่จะทำได้ง่าย เมื่อปลูกได้ดีมีรางวัลเมื่อปลูกไม่ดีก็ต้องได้รับโทษ ส่วนใหญ่เสบียงในทุกๆ ปีนั่นได้มาจากการทำการเกษตรของทหารเหล่านี้ เพียงแต่โยวโจวนั้นมีพื้นที่มากจำนวนคนน้อย น่าเสียดายที่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผลผลิตได้น้อยกว่าพืชที่ปลูกในพื้นที่อุดมสมบูรณ์กว่าสองสามส่วน
เมื่อหนานกงมั่วไปถึงพลันมองเห็นผู้คนมากมายกำลังขะมักเขม้นทำหน้าที่ของตนเองอยู่ในแปลงไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นพวกเขามาจึงมีสายตาหลายคู่จ้องมองมา ติงเสียวเถี่ยหดคอและหลบอยู่ด้านหลังหนานกงมั่ว เท้าของหนานกงมั่วชะงักไปโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวเพียงคนเดียวเดินไปเดินมาอยู่ในค่ายทหารง่ายต่อการเป็นที่สนใจ ทว่าในเมื่อนางมาอยู่ในกองทัพแล้วก็ต้องรับมือกับมันให้ได้ ไม่มีทางที่จะหลบอยู่แต่ในเขตทหารไม่ออกไปไหน
มองเห็นเงาเว่ยจวินมั่วอยู่ไกลๆ แม้จะอยู่ในชุดเดียวกันท่ามกลางผู้คนมากมาย หนานกงมั่วสามารถมองเห็นเขาได้ในทันที เว่ยจวินมั่วยืนอยู่ตรงนั้น มองดูผู้ใต้บังคับบัญชาไถพรวนดิน ด้านข้างเห็นผู้ที่เป็นผู้บังคับกองร้อยเช่นเดียวกับเขากำลังพูดคุยบางอย่าง เว่ยซื่อจื่อเกิดในเชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่าไม่มีใครคาดหวังให้เขาลงมือทำการเกษตรเอง โชคดีที่เขาไม่ต้องลงมือทำงานด้วยตนเอง หนานกงมั่วไม่ยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นเว่ยจวินมั่วทำงานเหมือนคนอื่นๆ
“นี่ ผู้บังคับการเว่ย ภรรยาท่านมาแล้วนี่” มองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา พลันมีเสียงคนเริ่มเสียงดังล้อเลียน
น่าเสียดายที่หนานกงมั่วมิใช่สตรีขี้อายทั่วไป คาดหวังจะได้เห็นนางปิดหน้าเขินอายหนีไปนั้นคงไม่อาจเป็นจริงได้ หนานกงมั่วทำเพียงยิ้มบางให้คนที่เอ่ยล้อเลียน พยักหน้าเบาๆ ผู้ชายตัวใหญ่กลับต้องหน้าแดงหุบปากไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดไปเอง กลับทำให้คนรอบข้างเขาหัวเราะหยัน
“อู๋สยา มีเรื่องอันใดหรือ” เว่ยจวินมั่วมองเห็นหนานกงมั่ว พยักหน้าให้ชายวัยกลางคนด้านข้างแล้วรีบเดินเข้ามาหา
หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ไม่มีอันใด เพียงมาดูเท่านั้น”
เว่ยจวินมั่วเองมองเห็นเด็กน้อยที่หลบอยู่ด้านหลังหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเรียบ “เด็กคนนี้อายุน้อยเกินไป ดูแล้วไม่โง่ มีเรื่องอันใดเจ้าก็สั่งเขาไปจัดการได้ หากเจ้าชอบก็สอนอันใดเขาสักหน่อยก็พอ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เว่ยจวินมั่วเมตตาติงเสียวเถี่ยอายุน้อยนั่นเป็นอีกเรื่อง นอกจากนี้เกรงว่ายังต้องหาคนมาช่วยงานอีก
“มาที่นี่ครั้งแรกรู้สึกเช่นไร” หนานกงมั่วมองผู้คนมากมายที่ทำงานอย่างกระตือรือร้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม สำหรับสิ่งเหล่านี้หนานกงมั่วคุ้นเคยมากกว่าเว่ยจวินมั่วมาก อย่างไรนางก็ใช้ชีวิตอยู่ตานหยางมากว่าห้าหกปี แน่นอนว่าได้ใกล้ชิดกับชาวบ้านเหล่านั้น ทว่าคุณชายเว่ย ไม่ว่าจะอยู่ที่จินหลิงหรือใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ในยุทธภพเกรงว่าคงไม่ได้เข้าใกล้เรื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำ
คุณชายเว่ยเอ่ยราบเรียบ พยักหน้า เอ่ย “ก็ดี”
หนานกงมั่วเข้าใจ “ความจริงคงไม่ชอบสิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่ ใครใช้ให้ท่านทะเลาะกับเสด็จลุงเล่า” เป็นถึงแม่ทัพไม่ชอบ อยากมาเป็นผู้บังคับการกองร้อย ในเมื่อมาแล้วก็ไม่อาจแสดงออกมาได้มาก ไม่พอใจก็ไม่ได้
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ข้าไม่ได้ทะเลาะกับเสด็จลุง”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ข้ารู้ คุณชายเว่ยอยากเอ่ยว่าเป็นความสามารถของตนเองอย่างนั้นหรือ ความจริงแล้วท่านพุ่งเข้าไปต่อยหน้าจูหงในกระโจมของเขาสักครั้งก็ยังได้”
“เจ้าเอ่ยจริงหรือ” คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว ท่าทางราวกับหัวใจเต้นรัว
หนานกงมั่วกลอกตา “ข้าล้อเล่น”
“ข้าเองก็ล้อเล่น”
“…” ดูไม่ออก
ชายที่พูดคุยกับเว่ยจวินมั่วเดินเข้ามา มองเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้บังคับการกองร้อยเว่ย นี่คือฮูหยิน…ของท่านหรือ” ไม่รู้ว่าเดิมชายผู้นี้ต้องการเอ่ยสิ่งใด หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความลังเล เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นชินและเขินอาย หนานกงมั่วเองไม่สนใจ ชายวัยกลางคนผู้นี้เพียงมองภายนอกก็ดูออกแล้วว่าเขาเองก็ปีนขึ้นมาจากชั้นล่าง เหมือนนายทหารในกองทัพคนอื่นๆ ค่อนข้างหยาบกระด้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อย ในกองทัพนี้คนที่รู้หนังสือเช่นเฉินอวี้นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ไม่รู้หนังสือ หรือบางคนอาจรู้จักเพียงบางตัวเท่านั้น