หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ เอ่ย “วาจาของน้องสะใภ้ เอ่ยกับข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ที่เสด็จป้าทำไปก็เพราะหวังดีกับเชียนชื่อ”
เฉินซื่อตอบกลับเสียงเบา “ข้าเองก็รู้ดีว่าที่เสด็จแม่ทำไปก็เพราะหวังดีกับเชียนชื่อ แต่…เสด็จแม่ไม่ได้มีเชียนชื่อเป็นบุตรชายคนเดียวสักหน่อย”
หนานกงมั่วรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที “น้องสะใภ้ คนที่ไม่รู้จักตรึกตรองการณ์ไกล ความยุ่งยากก็จะใกล้เข้ามาหา แต่ว่า…หากคิดไปไกลเกินก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี เกรงว่าแม้แต่ตัวเชียนชื่อเองก็อาจไม่ชอบใจได้”
เฉินซื่อจ้องมองหนานกงมั่วด้วยแววตางุนงง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ย “ข้า…ข้าทำไปก็เพราะหวังดีต่อซื่อจื่อเหมือนกัน”
หนานกงมั่วจึงเอ่ย “เชียนชื่อปฏิบัติต่อน้องสะใภ้เป็นอย่างดี น้องสะใภ้จะคิดแทนเขาก็มิใช่เรื่องแปลก เพียงแต่…เรื่องบางเรื่องที่เจ้าเห็นว่าดี ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป”
เฉินซื่อเงียบงันไม่เอ่ยวาจา หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ เฉินซื่อจะเปิดใจรับฟังนางหรือไม่ นางก็เอ่ยได้เพียงเท่านี้แล้ว เจตนาที่เฉินซื่อเชิญนางออกมาใช่ว่านางจะไม่รู้ ทว่านางไม่สามารถจะเปิดโอกาสให้เฉินซื่อได้เอ่ยสิ่งเหล่านั้นออกมาจริงๆ เพราะนางและเว่ยจวินมั่วเป็นพี่ชายและพี่สะใภ้ของเซียวเชียนชื่อสามพี่น้อง เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายได้จริงๆ
เรือนที่กำลังสร้างทั้งในและนอกเมืองโยวโจวก็เสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว หนานกงมั่ว เว่ยจวินมั่ว และคณะกำลังเตรียมตัวเดินทางเข้ากองทัพ ที่เรือนชิงมั่วหยวนเหลือไว้เพียงคนคุ้มกันราวสิบกว่าคนและบ่าวรับใช้ที่ลิ่นฉังเฟิงคัดเลือกมาอย่างดีอยู่ดูแลที่นั่น ส่วนทางหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก็มีทั้งมือสังหารของวังจื่อเซียวติดตามไปอารักขาคุ้มกันและจวนเยี่ยนอ๋องที่คอยหนุนหลัง ทั้งสองจึงไม่มีสิ่งใดให้เป็นห่วง
ค่ายทหารรักษาการณ์โยวโจวห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก และตัวเมืองของโยวโจวก็ห่างจากเขตชายแดนราวหนึ่งร้อยลี้เท่านั้น ใช้ม้าเร็ววิ่งสองถึงสามชั่วยามก็ถึง เพียงแต่ในกองทัพทหารไม่ได้เหมือนพื้นที่ทั่วไป จึงไม่สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วได้รับคำสั่งให้ไปสมทบกองทัพของจูหง จูหงมีทหารภายใต้บังคับบัญชาราวห้าหมื่นนาย กองทัพของอาณาจักรเซี่ยได้สั่งการให้ผู้บังคับการกองร้อยที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชารวบรวมทหารเป็นสองกองธงใหญ่ สิบกองธงเล็ก ร่วมหนึ่งร้อยนาย ยศระดับหกถือเป็นตำแหน่งระดับล่างที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ทางราชสำนักยังไม่รับผิดชอบเงินเดือนค่าตอบแทนของพลทหารกองกำลังโยวโจวอีกด้วย คุณชายเว่ยถูกลดขั้นจากผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องขุนนางระดับสองลงมาเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยระดับหกอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้าง
จูหงไม่ชอบหน้าคุณชายเว่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เป็นหลานชายของเยี่ยนอ๋องไม่ได้มียศพิเศษอันใด จึงให้ตำแหน่งผู้บังคับการกองร้อยแก่เขา อย่างไรเสียก็เป็นแค่ข้าราชการระดับหก และถึงแม้เยี่ยนอ๋องจะให้ตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพันแก่คุณชายเว่ย ผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นพวกเขาก็ไม่มีอันใดจะเอ่ยอยู่ดี แต่ทว่า…เหตุใดถึงได้พาภรรยามาเข้าร่วมกองทัพทหารด้วย เห็นกองทัพทหารเป็นสถานที่ใดกัน คิดว่าเวลานี้เป็นเหมือนเช่นตอนแย่งชิงแผ่นดินเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วหรืออย่างไร และถึงแม้จะเป็นยามนั้น ก็ไม่เคยได้ยินว่าผู้บังคับการกองร้อยมีอภิสิทธิ์สามารถพาภรรยาเข้าสู่สมรภูมิรบได้
ขุนพลจูไม่ชอบหน้าคุณชายเว่ยอยู่แล้ว จึงไม่ได้มาต้อนรับหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว สั่งให้ทหารชั้นผู้น้อยเป็นคนพาทั้งสองไปยังที่ตั้งของค่ายทหารแทน พวกหนานกงมั่วสองสามีภรรยาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แต่อย่างใด ตนเป็นแค่ผู้บังคับการกองร้อยเท่านั้น หากจะให้รองแม่ทัพมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง ออกจะน่าขายหน้าเสียมากกว่า
ค่ายทหารที่พวกเขาประจำการอยู่นั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากด่านเขตชายแดนมากนัก ค่ายทหารแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางใหญ่โตมากมาย มีทหารราวหนึ่งหมื่นนายเห็นจะได้ กองทัพทหารเขตชายแดนของอาณาจักรเซี่ยใช่ว่านอกจากสู้รบแล้วจะไม่ทำอย่างอื่นเลย ยามสงครามพวกเขาเข้าสู่สมรภูมิรบเพื่อสังหารศัตรู ยามว่างก็จะทำนาทำสวน โยวโจวมีพื้นที่กว้างขวางแต่ประชากรเบาบาง ถือเป็นการชดเชยเงินเดือนค่าตอบแทนและค่าเสบียงอาหารของกองทัพที่ขาดแคลนไปในตัว
พลทหารนำทางอยู่ภายในค่ายทหารแห่งนี้นานพอสมควร ทว่าไม่รู้จักสถานะที่แท้จริงของทั้งสอง รู้เพียงแต่ว่าขุนพลจูไม่ชอบหน้าทั้งสองนักจึงไม่ได้ปฏิบัติด้วยความกระตือรือร้นเท่าที่ควร เขาเอ่ยในสิ่งที่ควรต้องเอ่ยเท่านั้น สิ่งที่ไม่ควรเอ่ยไม่มีหลุดออกจากปากเขาแม้แต่คำเดียว ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เสียมารยาทแต่อย่างใด เพียงนำทางสองสามีภรรยาเข้าสู่ค่ายทหาร เกรงว่าที่ทั้งสองมาเข้าร่วมกองทัพก็เพียงเพื่อต้องการมาเที่ยวเล่นหรือต้องการมาสร้างผลงานเล็กๆ น้อยๆ กลับไปก็เท่านั้น
“ผู้บังคับการกองร้อยเว่ย ค่ายทหารของพวกท่านอยู่ตรงนี้ ผู้บังคับการกองร้อยหวังถูกพวกหยวนเหนือฟันขาขาดเมื่อฤดูหนาวของปีที่แล้ว ที่นี่จึงไม่มีคนดูแลมาระยะหนึ่งแล้ว ท่านมาที่นี่พอดี เช่นนั้นก็ดูแลที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” พลทหารอธิบายพลางชี้ไปยังค่ายทหารที่ค่อนข้างชำรุดทรุดโทรมตรงเบื้องหน้า
ถึงแม้จะมิใช่ยศทหารที่ต่ำที่สุดของกองทัพ แต่ยศผู้บังคับการกองร้อยถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งแถวหลังสุด ย่อมไม่มีสิทธิ์คาดหวังค่ายทหารสภาพดีๆ อยู่แล้ว เรือนถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ดูใหญ่กว่าเรือนที่หนานกงมั่วพักอาศัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้แตกต่างเท่าใดนัก แต่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากว่าเยี่ยนอ๋องใจไม้ไส้ระกำให้ตำแหน่งกองธงเล็กแก่เขาละก็ เกรงว่าคุณชายเว่ยคงต้องไปนอนเบียดกับเหล่าบรรดาทหารชั้นผู้น้อยแล้ว
หนานกงมั่วไม่มีตำแหน่งใดๆ เป็นภรรยาที่ติดตามเว่ยจวินมั่วมา จึงมิได้มีเรือนส่วนตัว ทั้งสองต้องอาศัยอยู่ด้วยกันโดยปริยาย
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเรียบเฉย “รบกวนแล้ว”
พลทหารนายนั้นอึ้งไปชั่วขณะ เกาศีรษะพลางจ้องมองไปยังชายหญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความงุนงง ในกองทัพล้วนเต็มไปด้วยเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์นิสัยค่อนข้างหยาบกระด้าง ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม รูปร่างหน้าตาของสองสามีภรรยาคู่นี้ดูโดดเด่นอย่างมาก เขาเคยพบเจอชายหญิงมามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าก็ยังไม่เคยเจอใครที่หน้าตาโดดเด่นเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคงจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ต้องปลงไม่ตกเพียงใดถึงได้ตัดสินใจมาลำบากถึงที่นี่ได้ อีกอย่างถึงแม้สตรีผู้นี้จะดูยิ้มแย้มตลอดเวลา ทว่าชายผู้นั้นกลับดูสง่างามและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก แม้แต่เขาที่เคยเข้าสมรภูมิรบมาแล้วยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าและหวาดกลัว ขุนพลจูเพิกเฉยไม่ใส่ใจไยดีสองสามีภรรยาเช่นนี้ จะไม่เกิดปัญหาตามมาจริงๆ หรือ
“ไม่…ไม่เป็นไร ท่านทั้งสองเชิญทางนี้ ยามนี้ทหารพวกนั้นคงจะกำลังพักผ่อนอยู่”
ทหารที่ไม่มีคนดูแลย่อมไม่มีใครรักษากฎระเบียบอยู่แล้ว ในตอนที่ทั้งสามเดินเข้าไปนั้น ทหารราวหนึ่งร้อยนายกระจัดกระจายคนละทิศละทาง บางคนกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้ บางคนยืนพิงกำแพงอยู่ใต้แสงแดดด้วยอาการเหม่อลอย บางคนก็กำลังนั่งพูดคุยหัวเราะกันเป็นกลุ่ม เมื่อเห็นทั้งสามเดินเข้ามา ทุกคนก็หยุดชะงักอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างก็พากันจ้องมองไปยังคู่ชายหญิงที่เดินมาพร้อมกับพลทหารด้วยความแปลกใจ สายตาส่วนใหญ่จับจ้องไปยังหนานกงมั่วเสียมากกว่า ท่ามกลางกองทัพทหาร อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่หมูตัวเมียก็ไม่ได้เห็นเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้มีหญิงงามดุจเทพเซียนปรากฏอยู่ตรงหน้า พวกเขาจะไม่มองให้หนำใจได้อย่างไร
“ขุนพลหยาง ท่านมาได้อย่างไร” ชายหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าคลานลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นก็วิ่งมาหาทั้งสาม เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เหตุใดถึงพาแม่นางกับหนุ่มหล่อหน้าขาวมาที่นี่หรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลของขุนพลหยางมีน้องหญิงที่หน้าตางดงามเช่นนี้”
พลทหารผู้นั้นเหลือบมองเขาตาเขม็ง เอ่ยว่า “เหลวไหล นี่คือผู้บังคับการกองร้อยคนใหม่ของพวกเจ้า ผู้บังคับการกองร้อยเว่ย ยังไม่รีบคารวะอีก!”
สายตาที่เดิมทีกำลังจ้องมองหญิงงามก็เปลี่ยนไปมองเว่ยจวินมั่วทันทีทันใด ชายผู้นั้นกวาดสายตามองเว่ยจวินมั่วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ไม่ใช่หรอกกระมัง คนผู้นี้คือคุณชายน้อยของตระกูลไหนกัน หรือว่าเป็นคุณชายในตระกูลขุนพลหยางหรือ ซ้ำยังพาภรรยาหน้าตางดงามมาด้วย ไม่เห็นได้ยินขุนพลหยางเล่าให้ฟังเลย”
พลทหารแซ่หยางผู้นั้นเตะเขาไปหนึ่งทีแล้วจึงเอ่ย “นี่คือคำสั่งของขุนพลจู! ผู้บังคับการกองร้อยเว่ย ข้าขอตัวกลับไปก่อน”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เชิญ”
พลทหารหยางส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับเดินจากไป คุณชายเว่ยผู้นี้เย็นชาเป็นที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบ เอ่ยไม่ถึงสิบคำเสียด้วยซ้ำ
หลังจากที่พลทหารหยางกลับไปแล้ว ทั้งค่ายทหารก็ชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที ทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามารายล้อมทั้งสองพร้อมกับกวาดสายตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ชายวัยกลางคนที่เอ่ยในตอนแรกก็เม้มปากพลางเอ่ย “ดูแล้วก็ไม่ได้ใหญ่โตมาจากไหน แม่นาง เหตุใดเจ้าถึงติดตามคุณชายน้อยผู้นี้มาเที่ยวเล่นในค่ายทหารด้วย ที่นี่มิใช่สถานที่สำหรับเที่ยวเล่น สู้มากับข้า…”