“ไปกันเถิด” หนานกงมั่วเคลื่อนไหวรวดเร็ว เดิมก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องนำติดตัวไปสนามรบด้วย หนานกงมั่วเตรียมของจำเป็นที่ต้องใช้ในสงครามเอาไว้ในห้องเรียบร้อยตั้งนานแล้ว เพียงเข้าไปหยิบมาก็เท่านั้น เมื่อออกมาคนทั้งเขตทหารก็กำลังเตรียมตัวออกเดินทาง
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า มองผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดวงตาเบิกกว้าง เอ่ยเสียงเข้ม “เคลื่อนทัพ”
เหล่าทหารในกองทัพมองสตรีในอาภรณ์สีฟ้าที่เดินอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว อดไม่ได้ที่จะอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง เดิมทีคิดว่าผู้บังคับบัญชาการเว่ยห่างจากภรรยาผู้งดงามไม่ได้ นี่ขาดไม่ได้จนกระทั่งพาไปออกศึกด้วยอย่างนั้นหรือ นี่เป็นความรักหรือมีความแค้นกับภรรยาของเขากันแน่
เดิมทีช่วงเวลานี้ของทุกปีนั้นไม่มีศึกสงครามแต่อย่างใด ฤดูใบไม้ผลิ พลทหารของด้านในกำแพงของโยวโจวนั้นวุ่นวายกับการเพาะปลูก ชนเผ่าล่าสัตว์นอกด่านนั้นก็ต้องเลี้ยงแกะเลี้ยงม้า แต่ฤดูหนาวที่แล้วนั้นเหน็บหนาวเป็นอย่างมาก นอกด่านนั้นมีวัวและแกะหิวตายหนาวตายไม่น้อย แม้แต่หญ้ายังขึ้นมาช้ากว่าปีก่อนๆ ไม่ง่ายเลยที่จะเก็บรักษาสิ่งต่างๆ เอาไว้ รอจนกระทั่งน้ำแข็งละลาย ผู้คนต่างอดไม่ได้ขี่ม้าที่หิวจนผอมโซมุ่งตรงมายังเขตชายแดนอาณาจักรเซี่ย แน่นอนว่าทหารอาณาจักรเซี่ยที่คุ้มกันชายแดนไม่ยอมให้พวกเขาทำสำเร็จแน่ เดิมทีเขตชายแดนก็มีประชาชนไม่มาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้คนที่ถูกราชสำนักเนรเทศหรือไม่ก็คนที่อยู่ไม่ได้จึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อถูกโจรเหล่านี้มาคอยรังควาน เขตชายแดนโยวโจวนี้นอกจากพวกเขาก็ไม่มีใครอีกแล้วจริงๆ หรือ
ดังนั้นการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการต่อสู้สองวันเบาสามวันหนัก บางครั้งชาวเป่ยหยวนไม่กี่สิบคนก็เข้ามาแย่งอาหารของชาวบ้าน มีบางคนรวมตัวกันเป็นร้อยเพื่อปล้นหมู่บ้าน ชิงของได้ก็หนีไป เมื่อเผชิญหน้ากับทหารโยวโจวก็ต้องต่อสู้กันชุลมุน ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันไปมากกว่าหนึ่งเดือน เริ่มเกิดการโมโหขึ้นมา ครั้งนี้ฮ่องเต้เป่ยหยวนนำทหารนับหมื่นบุกเข้ามาโจมตีกะทันหัน บังเอิญว่าค่ายทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือพวกเขา ดังนั้นเมื่อได้รับข่าวนายทหารชั้นสูงจึงส่งคนไปรายงานต่อจูหงอย่างรวดเร็ว อีกด้านก็นำกำลังทหารไปรับหน้าก่อน
ที่ตั้งของค่ายนั้นอยู่ไม่ไกลจากด่านเข้าเมือง กองทัพเดินทางเร่งรีบเพียงหัวค่ำก็มาถึงแล้ว เมื่อพวกเขามาถึงทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม้ทหารของอาณาจักรเซี่ยจะมีป้อมคอยคุ้มกันทว่าเห็นได้ชัดว่าเริ่มรับมือไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องออกคำสั่ง พลทหารที่เพิ่งถูกลากเข้าสนามรบก็วิ่งเข้าไปพร้อมกับไอสังหารที่คุกรุ่น
สนามรบราวกับมีพายุนองเลือด หนานกงมั่วยืนอยู่บนป้อมแห่งหนึ่งมองสนามรบตรงหน้า สนามรบนั้นโกลาหลวุ่นวาย ทหารม้าของเป่ยหยวนและทหารม้าในชุดสีดำของโยวโจวต่อสู้กันหนักหน่วง หนานกงมั่วไม่กังวลกับเว่ยจวินมั่วนัก หากแม้กระทั่งสงครามระดับนี้ยังจัดการไม่ได้ นั่นก็มิใช่เว่ยจวินมั่วแล้ว
ทั่งสองฝ่ายมีทหารล้มตายไม่หยุดไม่หย่อน หรือบางคนถูกฟันบาดเจ็บ กลิ่นเลือดคละคลุ้งถูกลมหนาวของทางเหนือพัดเข้ามา ทำให้คนที่ได้กลิ่นนั้นแทบหายใจไม่ออก
สนามรบด้านล่าง เผิงซิ่นยกเท้าถีบทหารเป่ยหยวนคนหนึ่ง ดึงติงเสียวเถี่ยที่ล้มอยู่บนพื้นขึ้นมา ตะโกนด่า “เจ้าเด็กนี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร”
ติงเสียวเถี่ยกำดาบในมือแน่น ใบหน้าเล็กซีดเซียว
“ระวังตัวหน่อย” เผิงซิ่นลอบก่นด่าอยู่ในใจ ‘ความกล้าของทหารใหม่ที่ลงสนามรบครั้งแรกนั่นเป็นสิ่งที่วุ่นวาย’ หลังจากบ่นเสร็จก็กำดาบแน่นแล้วหายกลับไปในวงต่อสู้ ในสนามรบ ศีรษะของศัตรูก็คือความดีความชอบของตนเอง เพียงต่อสู้อีกไม่กี่ครั้งแล้วมีชีวิตกลับมา เขาก็จะขึ้นเป็นผู้บังคับการกองร้อย ไม่ต้องสนใจเว่ยจวินมั่วเจ้าเด็กคนนั้นแล้ว
ทหารเป่ยหยวนเองรู้ว่าฝั่งนี้นั้นมีตัวร้าย มองสบตากันแล้วพุ่งเข้าหาเผิงซิ่น เผิงซิ่นสบถเสียงต่ำ กำดาบในมือแน่นวิ่งเข้าหา ฟันโดยไม่คิดลังเลเลยย อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้อ่อนด้อย ต่อสู้ตัวต่อตัวกันอย่างดุเดือด ชาวเป่ยหยวนเช่นพวกเขาไม่กลัวพวกอ่อนปวกเปียกเช่นคนทางใต้เหล่านี้หรอก
อย่างไรสองหมัดก็ยากจะสู้สี่มือ ไม่นานเผิงซิ่นก็พลาดท่า ดาบฟันลงที่กลางหลังหนักๆ ไปหนึ่งที นึกโกรธอยู่ในใจ เอ่ย “วันนี้ข้าจะตายอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“เผิงซิ่น ระวัง” ด้านหลังมีเสียงโกรธเกรี้ยวของจินซานดังขึ้น เผิงซิ่นหันกลับไปเห็นชาวเป่ยหยวนตัวใหญ่ใบหน้าโหดเหี้ยมกำลังพุ่งปลายดาบแหลมตรงมาที่ตน
‘ฉึก!’
ดาบยังมาไม่ถึง ลูกธนูแหลมก็พุ่งตรงปักลงที่หน้าอกของชายร่างหนา ดาบในมือยังคงยกสูง ทว่าไม่อาจแทงลงมาได้ ดวงตาเบิกกว้างล้มลงไปทันใด
“ท่านเผิง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” จินซานรีบวิ่งเข้ามาประคองเผิงซิ่น เผิงซิ่นหันกลับไปตามทิศทางของลูกธนู อยากเห็นว่าเป็นใครที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ทว่าเห็นป้อมสูงด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล สตรีในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนกำลังวางคันธนูในมือลงอย่างเชื่องช้า
โอ้…!
เผิงซิ่นตื่นตกใจ ลมเย็นวูบพัดผ่านศีรษะไป ทั้งสองหันกลับไปมองเห็นชาวเป่ยหยวนตัวใหญ่ล้มลงบนพื้น ด้านหลังเป็นเว่ยจวินมั่วที่มีใบหน้าเยือกเย็นกำลังถือดาบอยู่
ดวงตาเย็นชาของเว่ยจวินมั่วกวาดมองทั้งสองคน “มาเหม่ออยู่บนสนามรบไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ”
คุณชายเว่ย…ภรรยาของท่านเหี้ยมโหดเพียงนั้นท่านรู้หรือไม่
เอ่ยจบไม่สนใจท่าทีของทั้งสองคน เว่ยจวินมั่วหมุนตัวกลับไปเข้าสู่การต่อสู้ในสนามรบอีกครั้ง
“…” เจ้าฆ่าไปหมดแล้ว พวกเราจะทำอันใดได้อีกเล่า
คุณชายเว่ยนั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน กระบี่ยาวไม่อาจขัดขวางได้ เพียงได้เผชิญหน้ากับเขาไม่มีใครสามารถหลุดรอดไปได้เป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าจะเป็นพลทหาร ทหารม้า ทหารชั้นสูงก็ต้องตายในดาบเดียว ทั้งสองมองคนตรงหน้าของเขาที่ห่างออกไปกว่าสิบก้าวกำลังจัดการไม่ไว้ชีวิตใครแม้แต่ไก่หรือสุนัข
มองร่างเว่ยจวินมั่วที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงร้องโหยหวนหวาดกลัวของเหล่าทหารเป่ยหยวน หัวหน้ากองธงทั้งสองจึงได้สติกลับคืนมา ดวงตาสองคู่มองสบตากัน มิน่าเล่าถึงได้แต่งภรรยาโหดเหี้ยมเช่นนั้น ที่แท้คุณชายเว่ยเองก็โหดเหี้ยมยิ่งกว่า ที่ผ่านมาฝึกซ้อมกับพวกเขาคุณชายเว่ยเก็บพลังไว้มากเพียงใดกัน ทั้งสองรู้สึกโชคดีขึ้นมา
“เหม่ออะไรอยู่ ฆ่ามันสิ” เผิงซิ่นฮึดสู้ขึ้นมา เอ่ยเสียงดัง “ปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นสังหารจนหมด พวกเราจะทำเช่นไร” แม้แต่แผลที่หลังยังลืมไปแล้ว พุ่งเข้าหานายทหารฝั่งตรงข้ามด้วยความคึกคัก “ข้าไม่อยากเป็นลูกน้องเขาไปตลอดชีวิตหรอกนะ”
ไม่สังหารศัตรูก็ไม่มีศีรษะคน ไม่มีศีรษะก็ไม่ได้ความดีความชอบ กองกำลังของอาณาจักรเซี่ยก็ง่ายๆ เช่นนี้
ประตูเมืองด้านหลังสนามรบ หนานกงมั่วยื่นธนูในมือให้ทหารด้านข้างภายใต้สายตาตกตะลึงของคนอื่นๆ
“ฝีมือยิงธนูของเว่ยฮูหยินนั้นช่างเยี่ยมยอด” นายทหารรักษาชายแดนด้านข้างอดชื่นชมไม่ได้ เดิมทีไม่ยินดีนักที่มีสตรีติดตามมายังสนามรบ เพียงแต่ยามนี้เวลากระชั้นชิดไม่มีเวลาไต่ถาม ยามนี้เขารู้แล้วว่าไยสามีของนางจึงกล้าพาสตรีบอบบางผู้นี้มาสถานที่เช่นนี้ได้เยี่ยงไร ธนูดอกเมื่อครู่ แม้แต่พลธนูของกองทัพเองก็คงไม่กล้าบอกว่าสามารถยิงได้มั่นคงเพียงนั้น
ที่นี่มิใช่ประตูที่สำคัญแต่อย่างใด จึงไม่มีหอคอยสูงที่ทำลายไม่ได้ง่ายๆ แบบนั้น มีเพียงป้อมเล็กๆ ที่พลทหารร่วมกันสร้างขึ้นมาเอง ที่ที่พวกเขายืนอยู่นั้นเป็นเพียงประตูไม้มีความสูงเพียงสองคนต่อกันเท่านั้นมิได้แข็งแกร่งทนทานเท่าใดนัก ด้านล่างมีเกราะป้องกันทหารม้าวางเอาไว้ไม่ไกล ห่างออกไปอีกหน่อยก็เป็นสนามรบของทั้งสองฝ่าย