ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบ ร่างของเขาก็ถูกแรงเตะมหาศาลเตะกระเด็นลอยไปราวห้าหกจั้งเห็นจะได้ จนร่างไปกระทบกับฝูงคนที่กำลังมุงดูจึงค่อยหยุดลง
“อั้ก…แค่กๆ…” ความจุกและความปวดแสบปะทุขึ้นมากลางอก คนผู้นั้นคุกเข่าลงไปกองกับพื้นพร้อมกับกุมท้องไว้แน่น พยายามเงยหน้าขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเข้ากับนัยน์ตาเย็นยะเยือกพอดี เว่ยจวินมั่วที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาจึงโน้มตัวไปถาม “เมื่อครู่ เจ้าคิดจะพูดอันใดหรือ”
“แค่กๆ…”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว ต่างก็พากันจ้องมองไปยังคุณชายในอาภรณ์เขียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้พวกเขาต่างก็เคยล้มศัตรูในสนามรบมานักต่อนักแล้ว ทว่าการเตะคนผู้หนึ่งจนกระเด็นลอยไปไกลได้เพียงนี้ มิใช่ใครก็จะสามารถทำได้ง่ายๆ หากไม่มีกลุ่มคนยืนมุงล้อมอยู่ ไม่รู้ว่าจะกระเด็นไปไกลแค่ไหน
เว่ยจวินมั่วกวาดสายตามองผู้คนรอบๆ ด้วยแววตาเรียบเฉย จากนั้นจึงก้มหน้ามองดูชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “เมื่อครู่ เจ้าคิดจะพูดอันใด” ประสบการณ์รบในสมรภูมิบอกเขาทันทีว่าหากไม่ตอบดีๆ ประสบการณ์ความซวยของวันนี้จะไม่จบเพียงเท่านี้ ชายผู้นั้นจึงรีบโบกมือแล้วเอ่ยว่า “เปล่า…เปล่าขอรับ ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอผู้บังคับการกองร้อยอภัยให้ข้าน้อยด้วย!”
เว่ยจวินมั่วนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ขมับของชายผู้นั้นอาบไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นๆ ทั้งรู้สึกเจ็บปวดและตกใจกลัวในเวลาเดียวกัน
“จวินมั่ว” เมื่อหนานกงมั่วเห็นสีหน้าซีดเผือดของชายผู้นั้นก็รู้สึกว่าพอประมาณแล้ว จึงเดินเข้าไปแล้วจึงเอ่ย “คนผู้นี้…”
คนผู้นั้นก็ถือว่าหัวไวไม่น้อย รีบเอ่ย “ข้าน้อยหัวหน้ากองธงใหญ่เผิงซิ่นขอรับ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ เอ่ย “หัวหน้ากองธงใหญ่เผิงซิ่นผู้นี้สำนึกแล้ว วันนี้ก็พอแค่นี้เถิด”
เว่ยจวินมั่วจึงละสายตาจากเผิงซิ่นไป เผิงซิ่นเห็นแล้วจึงแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
เว่ยจวินมั่วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางผู้คน จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าคือเว่ยจวินมั่ว หากพวกเจ้ามีสิ่งใดที่ไม่พอใจก็เข้ามาคุยกับข้าได้ทุกเมื่อ แต่หากข้าได้ยินคำเอ่ยที่ไม่ควรเอ่ยละก็ พวกเจ้าก็อย่ามีลิ้นอีกเลย!” พูดจบก็จูงมือหนานกงมั่วเดินเข้าไปด้านในทันที โดยที่ไม่สนสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอึ้งของทุกคนแม้แต่นิดเดียว
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ทุกคนที่โดนทิ้งอยู่ด้านนอกก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนก็รีบพากันกรูเข้ามาล้อมรอบทันที ต่างก็พากันถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “สหายเผิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านหัวหน้ากองธงใหญ่ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
ไม่ว่าอย่างไรการที่เผิงซิ่นไปยั่วยุผู้บังคับการคนใหม่ให้โมโหขึ้นมาก็เพื่อต้องการที่จะหยั่งเชิงให้ทุกคนได้เห็น ดูท่าแล้วผู้บังคับการกองร้อยคนใหม่ผู้นี้มิใช่แค่ฐานะไม่ธรรมดาเท่านั้น แต่ฝีไม้ลายมือก็ยังไม่ธรรมดาด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนมีความสามารถและมิใช่ย่อยๆ อีกด้วย
เผิงซิ่นไอออกมาเบาๆ จากนั้นก็พยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ “ไม่เป็นไร” จะไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน ผู้บังคับการกองร้อยคนใหม่ผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาคมคายไม่เบา ใบหน้าขาวสะอาดสะอ้าน แต่มือหนักเป็นอย่างมาก เขาคงจะช้ำในอย่างแน่นอน
อีกคนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นมาเสียงเบาว่า “ดูท่าแล้ว ผู้บังคับการกองร้อยคนใหม่คงจะมิใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ”
อีกคนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ทายาทตระกูลขุนนางอย่างน้อยๆ ก็พอจะได้เรียนวิชาศิลปะการต่อสู้มาบ้าง เข้ากองทัพยังจะพาผู้หญิงติดตามมาด้วย ซ้ำยังไม่ให้คนอื่นนินทาอีก ขุนพลจูไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย”
เผิงซิ่นโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “อย่าพึ่งไปยุ่งกับเขาดีกว่า รอดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” ผู้บังคับการกองร้อยผู้นี้มิใช่แค่เรียนศิลปะการต่อสู้มาบ้างเท่านั้น ยามที่สบตากับนัยน์ตาคู่นั้น เผิงซิ่นรู้สึกเหมือนว่าตนนั้นกำลังสบตากับปีศาจที่มองเห็นชีวิตคนเป็นแค่เศษขยะก็ไม่ปาน กลับรู้สึกว่าหากเมื่อครู่สตรีผู้นั้นไม่เอ่ยปากห้ามปรามล่ะก็ ไม่แน่บางทีคนผู้นั้นอาจจะฆ่าตนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
เผิงซิ่นรีบส่ายหน้าสลัดความคิดทิ้งไปพร้อมกับหัวเราะในใจเบาๆ ตนคงคิดมากไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตนก็เป็นถึงหัวหน้ากองธงใหญ่และไม่ได้ละเมิดคำสั่งทหารสักหน่อย เหตุใดเว่ยจวินมั่วผู้บังคับการกองร้อยนั่นจะต้องมาฆ่าตนด้วย เพียงแต่ว่า…รัศมีของเจ้าเด็กนั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว
ภายในห้อง หนานกงมั่วกำลังจัดเก็บข้าวของด้วยความรวดเร็ว ที่พักค่อนข้างแคบไม่น้อย มีเพียงห้องโถงหลักเอาไว้ใช้ทำงาน ห้องหนังสือหนึ่งห้องและห้องนอนอีกหนึ่งห้อง ส่วนเครื่องเรือนนั้นเรียบง่ายจนน่าอนาถใจ หากเปรียบเทียบกับเรือนที่ตานหยางก็ถือว่าไม่หนีกันเท่าใดนัก ทั้งสองนำข้าวของมาไม่มาก จัดวางแค่เครื่องใช้ที่ใช้เป็นประจำก็เป็นอันเสร็จสิ้น เว่ยจวินมั่วเอาแต่จ้องมองที่พักแสนทรุดโทรมพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น หนานกงมั่วเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เอ่ย “เป็นอันใดไป ไม่ชินหรือ” อย่างไรเสียคุณชายเว่ยก็เป็นเชื้อพระวงศ์ นอกจากตอนที่ไปออกรบหรือออกไปทำภารกิจแล้ว เกรงว่าคงจะไม่เคยอาศัยในที่พักที่ซอมซ่อเช่นนี้
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้าเบาๆ เอ่ย “ไม่ไกลจากที่นี่มีเมืองเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง อู๋สยา เจ้าไปพักอยู่ที่นั่นดีหรือไม่”
หนานกงมั่วกะพริบตาเบาๆ “ทำไมหรือ” นางย่อมรู้ดีว่าไม่ไกลจากที่นี่มีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ที่นี่ก็มิได้มีปัญหาอันใด เหตุใดถึงต้องไปพักที่นั่น เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางไม่ถูกใจกับที่พักแสนซอมซ่อหลังนี้แล้ว ก็เข้าใจได้ในทันที จึงอดยิ้มไม่ได้แล้วจึงเอ่ย “ท่านกลัวว่าข้าจะลำบากหรือ”
เว่ยจวินมั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ
หนานกงมั่วได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็โผเข้าหาเขาทันที เว่ยจวินมั่วอ้าแขนรับหนานกงมั่วมาไว้ในอ้อมกอด เอ่ยเสียงกระซิบ “ที่นี่ซอมซ่อเกินไป ทั้งยังเสียงดังหนวกหูอีกด้วย” ที่นี่มิใช่แค่ซอมซ่อเท่านั้น ค่ายทหารสถานที่เช่นนี้มีคนอาศัยนับหมื่นชีวิต ย่อมหาความสงบไม่ได้อยู่แล้ว
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยตอบว่า “ไม่เป็นไรสักหน่อย หากข้าต้องการความสงบ ข้าคงอยู่ที่โยวโจวแล้ว หากท่านอยากจะออกไปก็ออกไปอยู่คนเดียวเถิด ข้าไม่ไปด้วยหรอก”
เว่ยจวินมั่วย่นคิ้วเบาๆ จ้องมองหญิงสาวที่กำลังอมยิ้มอยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยความจนใจ เขาย่อมรู้ดีว่าอู๋สยาไม่รังเกียจที่จะอาศัยในที่แบบนี้ หากเป็นสตรีคนอื่นเกรงว่าหากไม่ร้องไห้โวยวายจะกลับบ้านก็คงจะหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมดแล้ว มีหรือจะมายิ้มร่าเช่นนี้ เพียงแต่ว่าตัวเขาเองทำใจให้นางมาอยู่ในที่ลำบากเช่นนี้ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
หนานกงมั่วอมยิ้มพลางเขย่งเท้าขึ้นหอมปลายคางของเขาเบาๆ “ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะให้ข้าอยู่ในกองทัพทหารด้วย การกลับคำพูดมิใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ หากท่านจะให้ข้าออกไปจริงๆ ข้าจะกลับโยวโจวไปหาเสด็จแม่ และจะไม่มาเยี่ยมท่านอย่างเด็ดขาด!” เมื่อสบตากับสายตาดุดันที่กำลังขู่ฟ่อของหนานกงมั่วแล้ว แววตาของเว่ยจวินมั่วกลับอ่อนโยนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ก้มหน้าลงพลางเอ่ยถาม “อู๋สยา เจ้าทำใจจากข้าไม่ได้ใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วจ้องเขาตาเขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยยิ้มกว้างพลางเอ่ย “ถูกต้องแล้ว ข้าทำใจจากใบหน้านี้ไปไม่ได้”
เว่ยจวินมั่วไม่ได้สนใจว่านางจากเขาไม่ได้เพราะเหตุผลใด “อืม…อันที่จริงข้าเองก็ไม่อยากอยู่ห่างจากเจ้า อู๋สยา อยู่ที่นี่เถิด” อย่างมากก็แค่เอาสวัสดิการหลวงมาใช้ส่วนตัว สั่งทำเครื่องเรือนดีๆ มาไว้ในเรือนสักหน่อย อย่างไรเสียคุณชายเว่ยที่กำลังแฝงกายปิดบังฐานะตนเองเช่นเขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์เหล่านี้เท่าใดนัก
“ไม่รู้ว่าฉังเฟิงและคนอื่นๆ ไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง” หนานกงมั่วที่อยู่ในอ้อมกอดของเว่ยจวินมั่วกำลังเท้าคางบนไหล่ของเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ถึงแม้ว่าผู้มีฝีมือของวังจื่อเซียวส่วนใหญ่แล้วจะเข้าร่วมกองทัพ ทว่าน่าเสียดายที่ในค่ายของเว่ยจวินมั่วกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่รู้ว่าคุณชายฉังเฟิงถูกเยี่ยนอ๋องสั่งให้ไปประจำการอยู่ที่ใด ฉะนั้นช่วงเวลาอันแสนยาวนานนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาได้ดิ้นรนและฝ่าฟันกันเองก็แล้วกัน
“เฮ้อ…คุณชายจื่อเซียวจู่ๆ ก็ถูกลดขั้นมาเป็นผู้บังคับการกองร้อยระดับหก ไม่รู้ว่าจะชินหรือไม่” หนานกงมั่วสังเกตสีหน้าเว่ยจวินมั่วพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัย ถึงแม้ว่าที่วังจื่อเซียวจะไม่มีทหารและม้ามากมายนับหมื่น ทว่าความสามารถและฝีไม้ลายมือของเขาก็ไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน อีกอย่างวาจาของเว่ยจวินมั่วก็มีอำนาจและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ยามนี้เขาได้เข้าร่วมกองทัพแล้ว แม้แต่หัวหน้ากองธงยศเล็กๆ ก็ยังกล้าหาเรื่องเขา หนานกงมั่วนึกแล้วก็รู้สึกตลกไม่น้อย ใบหน้าของเว่ยจวินมั่วหล่อเหลาเกินไปแล้ว แม้วันนี้จะเผยฝีมือเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ผู้คนตกใจกลัว แต่เกรงว่าทหารนักเลงส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี