“ท่านหมอซือหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ชายวัยกลางคนชะงัก เอ่ย “เจ้าเคยเจอข้าหรือ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “เปล่าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้าแซ่ซือ” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม
หนานกงมั่วเอ่ย “ในกองทัพมีหมอประจำกองทัพเพียงสี่ท่าน หนึ่งในนั้นคิดว่าเป็นหมออาวุโสอายุหกสิบ อีกสองคนพึ่งผ่านสามสิบ” หนึ่งคนที่เหลือไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเป็นใคร ชายวัยกลางคนส่งเสียงหยัน “ก็ยังฉลาดอยู่บ้าง”
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมามองสังเกตคนตรงหน้า หมอท่านนี้ดูเหมือนจะมีท่าทีเป็นศัตรูกับนาง ตามหลักแล้วหลายวันมานี้นางเดินไปเดินมาเพียงในเขตของเว่ยจวินมั่ว ไม่ได้ไปเข้าใกล้เขตอื่นด้วยซ้ำ ไม่ควรจะเป็นศัตรูจึงจะถูก หรือว่านางน่าโกรธเกลียดจนกระทั่งได้ยินชื่อก็โกรธแล้วอย่างนั้นหรือ
“ท่านหมอซือมีเรื่องอันใดหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ท่านหมอซือเอ่ย “ได้ข่าวมาว่าเว่ยฮูหยินรู้วิชาการแพทย์หรือ”
“รู้บ้างเล็กน้อยเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วตอบอย่างรักษาท่าที
ท่านหมอซือปรายตามองนาง มองไปยังสมุนไพรตรงหน้าหนานกงมั่ว เอ่ยขึงขัง “ชีวิตของทหารในกองทัพนั้นมีค่า ขอเว่ยฮูหยินอย่าได้เที่ยวลองยาไปทั่ว หากเกิดอันใดขึ้นพวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหว” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ช่วงนี้นางยังไม่ได้รักษาผู้ใด มีเพียงสองวันก่อนเดินผ่านสนามฝึกซ้อมแล้วเจอทหารนายหนึ่งเป็นไข้ทรมานอย่างหนัก จึงมอบยาที่ปรุงเรียบร้อยให้เพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้น หรือว่ากินเข้าไปแล้วมีปัญหาอันใดเล่า คงไม่ใช่หรอกกระมัง ต่อให้นางจะเชี่ยวชาญอาการป่วยภายนอก แต่มิใช่ว่าแม้แต่เป็นไข้นางจะรักษาไม่ได้นี่
“ขอถามท่านหมอ เกิดเรื่องอันใดแล้วหรือเจ้าคะ ข้ามิได้ทดลองยากับผู้ใด” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ท่านหมอซือส่งเสียงหยัน เอ่ยขึ้นโดยไว “ฮูหยินช่างลืมง่าย วันก่อนฮูหยินเพิ่งทดลองยากับคนมิใช่หรือ นายทหารผู้นั้นเดิมใช้ยาของข้า หากยามีพิษต้านกันใครจะรับผิดชอบ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หนานกงมั่วเข้าใจทันใด มิใช่ว่าข้าเห็นคนผู้นั้นทรมาน อีกทั้งสองสามวันก็แล้วยังไม่ดีขึ้นจึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วยหรอกหรือ ท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ไม่เหมือนได้กินยา อีกทั้งก่อนกินยาตนก็จับชีพจรดูแล้ว สั่งห้ามเขาแล้วนี่นา
หนานกงมั่วเองไม่โกรธอันใด อย่างไรท่านหมอผู้นี้ก็เป็นห่วงคนไข้ “ขออภัยด้วย ท่านหมอซือ ข้าไม่รู้มาก่อนว่านายทหารผู้นั้นใช้ยาของท่าน แต่ท่านไม่ต้องกังวล อย่างไรยาที่ข้าให้เขาก็ไม่อาจไปต้านยาอื่น ตอนนี้เขาน่าจะ…ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
ท่านหมอซือใบหน้าแดง มองสตรีตรงหน้าด้วยความโกรธ เขาจะบอกไปได้เยี่ยงไรว่าเขาจ่ายยาไปกว่าสามวันก็ไม่หาย สุดท้ายกินยาของหนานกงมั่วไปเม็ดเดียวก็ดีขึ้นกว่าครึ่งเล่า นั่นมิใช่การหาเรื่องให้ตนเองต้องกระอักกระอ่วนหรือ บรรยากาศเย็นชา ท่านหมอซือชายตาไปมองยาบนโต๊ะตรงหน้าของนาง เอ่ย “อายุยังน้อย นึกว่าตนเองมีความสามารถเท่าใดกันจึงกล้าทำเรื่องเหลวไหล”
หนานกงมั่วดวงตาเข้มขึ้นรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านหมอซือ นายทหารผู้นั้นมีปัญหาอันใดหรือไม่”
ท่านหมอซือสะบัดแขนเสื้อ เอ่ย “ครั้งนี้เป็นเพียงแมวตาบอดเจอหนูตายก็เท่านั้น ในเมื่อเว่ยฮูหยินมิได้เป็นหมอประจำกองทัพก็อย่าได้จ่ายยาไปทั่ว”
หนานกงมั่วเพิ่งเข้าใจ หมอท่านนี้มิได้เป็นห่วงคนไข้ทว่าเพียงไม่ถูกตากับตนเองจึงมาข่มขู่ คิ้วสวยเลิกขึ้น เอ่ยราบเรียบ “ท่านหมอซือระวังวาจาด้วย ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
“หึ” เห็นนางว่าง่าย ท่านหมอซือจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ไม่อยากเอ่ยอันใดกับนางมาก สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปทันที
มองดูคนที่มาไวไปไวราวกับสายลม หนานกงมั่วเลิกคิ้วยิ้มร่าเริงขึ้นมา ถอนหายใจ เอ่ย”นี่ยังไม่ทันได้จ่ายยาก็มีคนมาหาเรื่องแล้ว หมอคนอื่นๆ อย่าได้เป็นเช่นนี้เลย มิเช่นนั้นคงยากที่จะรายงานต่อเยี่ยนอ๋อง” ก็เหมือนกับเว่ยจวินมั่วไม่กล้าสังหารนายทหารที่ไม่เชื่อฟัง นางเองก็ไม่กล้าจัดการกับหมอประจำกองทัพของจูหงเช่นกัน พลันรู้สึกคิดถึงท่านหมอที่อยู่ในกองทัพของหนานกงไหวขึ้นมาทันใด
“วันนี้มีคนมาหาเรื่องเจ้าหรือ” ยามเย็น หลังอาหารเย็นเว่ยจวินมั่วเดินจูงมือหนานกงมั่วอยู่ในค่ายทหารดังเช่นทุกวัน เหล่าทหารที่มองเห็นนอกจากอิจฉาริษยาแล้วก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ แม้จะริษยาที่เว่ยจวินมั่วเป็นเพียงผู้บังคับการกองร้อยเล็กๆ ทว่ากลับสามารถจูงมือภรรยาเดินเล่นอยู่ในค่ายทหารได้ แต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของเขามีใครจึงไม่กล้าเอ่ยอันใดมาก ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยจวินมั่วเองมีความสามารถไม่ธรรมดา ในกองทัพสิ่งที่น่านับถือที่สุดก็คือคนที่มีความสามมารถ แม้จะมีบางอย่างให้ติติงทว่าไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาลำบากได้ และคนในปกครองของเว่ยจวินมั่ว ถูกเขาจัดการจนสงบเสงี่ยม นอกจากลอบนินทาแล้ว ต่อหน้าเว่ยจวินมั่วกลับไม่กล้าต่อต้าน
ส่วนหนานกงมั่ว ไม่ว่าเป็นเพราะความสามารถของเว่ยจวินมั่วหรืออย่างไร คนทั่วไปไม่กล้าเข้าไปหาเรื่องสตรีบอบบางเช่นนาง โดยเฉพาะ นางยังเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม
หนานกงมั่วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรื่องเล็กน้อย”
เว่ยจวินมั่วก้มลงมามองนาง เรื่องนี้แน่นอนว่าเป็นติงเสียวเถี่ยที่รายงานต่อเขา ความจริงตอนนั้นติงเสียวเถี่ยเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เห็นเพียงท่านหมอเดินเข้าไปหาด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยวอยู่ไกลๆ รอจนเขาไปถึงคนก็จากไปเสียแล้ว แน่นอนติงเสียวเถี่ยคิดว่าท่านหมอนั้นมาหาเรื่องหนานกงมั่ว เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าต้องรายงานผู้บังคับการกองร้อยเว่ย
หนานกงมั่วกุมมือเขา ยิ้มพลางเอ่ย “ไม่มีอันใดจริงๆ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ข้าจะจัดการเองมิได้เลยหรือ เชื่อข้าดีหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วมองนางเงียบๆ สุดท้ายจึงพยักหน้า หนานกงมั่วยิ้มหวาน พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นี่สิจึงจะถูก การกีดกันคนภายนอกเป็นเรื่องปกติไม่เว้นแม้แต่ในกองทัพ ตอนท่านเพิ่งเข้ามาพวกเผิงซิ่นเองก็คิดจะข่มขู่ท่านมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นข้าที่เป็นสตรีเล่า”
เว่ยจวินมั่วส่งเสียงหยันในลำคอ เอ่ย “เจ้ามิได้ทำอันใด ก็มีคนร้อนใจวิ่งเข้ามาหาเรื่องแล้ว เห็นชัดว่าวิชาการแพทย์ก็มิได้ดีเท่าใด คนเช่นนี้เก็บไว้ในกองทัพจะเป็นปัญหาถึงชีวิตของทหาร” หากไม่คิดว่าวิชาการแพทย์ของอู๋สยาดีเกินหน้าเกินตาเขา ไยต้องวิ่งแจ้นมาหาเรื่องถึงที่นี่
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การแพทย์ของข้าแน่นอนว่าดีกว่าเขา วางใจเถิด พวกเราเพิ่งมาอยู่ในค่ายได้เพียงไม่กี่วัน ข้าเองก็ควรทำอันใดบ้างแล้ว” หลายวันมานี้ดูแล้วเหมือนนางไม่ได้ทำสิ่งใด เพียงออกไปเก็บสมุนไพรหรือไม่ก็อยู่ที่บ้าน ทว่าสิ่งที่ต้องทำนางก็ทำไม่ขาดตกพกพร่อง ทำความรู้จักกับค่ายนี้พอประมาณแล้ว ต่อไป…แน่นอนว่าต้องทำสิ่งที่ตนเองควรทำ
ค่ายนี้มีทหารกว่าหนึ่งหมื่น บวกกับช่างซ่อมบำรุงและช่างฝีมือรวมแล้วกว่าหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคน ทั้งหมดกลับมีหมอประจำกองทัพเพียงสี่คนบวกกับลูกศิษย์อีกสิบคน หากเป็นวันธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีปัญหา ทว่าหากเกิดสงครามขึ้นมาก็คงยุ่งเป็นพัลวัน เพียงแต่หมอไม่เพียงพอไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะโยวโจว แต่โลกนี้ไม่ว่าที่ไหนก็มีหมอไม่เพียงพอ คนธรรมดาทั่วไปหรือคนที่อยู่เบื้องล่างนั้นเมื่อไม่ได้หาหมอไม่ได้กินยา สุดท้ายก็ต้องอดทนและพึ่งตนเอง ทนไม่ไหวก็ตายเพียงเท่านั้น
หนานกงมั่วกลับไม่คิดว่าตนเองมีความทะเยอทะยานอันใด ต้องการเปลี่ยนแปลงการรักษาในโลกนี้ เพียงแต่ในอนาคตพวกเขาต้องหยั่งรากลึกในกองทัพแล้ว การรักษาและหมอในกองทัพเองก็สำคัญและมีประโยชน์ นางเองไม่รังเกียจที่จะใช้ความสามารถของตนเองให้เต็มที่ ส่วนท่านหมอซือผู้นั้น…ค่อยๆ ดูกันไปเถิด
[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย หมายถึง สำเร็จได้ด้วยความบังเอิญ สำเร็จได้ด้วยความไม่ตั้งใจ