ก็ได้ หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณชายมั่วต้องรู้ว่าควรซื้อสิ่งใดบ้าง เดินไปพลางคิดคำนวณไปด้วย “เช่นนั้น…ซื้อผ้ากลับไปสักผืนสองผืนแล้วเปลี่ยนของในบ้านใหม่ทั้งหมด จากนั้นยังเอามาทำเสื้อผ้าได้อีกสักนิด ยังต้องซื้อข้าวปลาอาหารด้วย…” เงินเดือนของคุณชายเว่ยนั้นจำกัด อาหารแน่นอนว่าต้องจำกัดตามไปด้วย ต้องการอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้นต้องควักเงินตัวเอง “อีกทั้งยังมี…”
เว่ยจวินมั่วมองนางก้มหน้าก้มตาคำนวณ ยื่นมือออกไปประคองกอดนางเอาไว้เพื่อไม่ให้ชนเข้ากับคนที่เดินไปมาขวักไขว่ตามท้องถนน สุดท้ายหนานกงมั่วพบว่าสิ่งที่พวกนางต้องซื้อมีมากเกินไป “ของมากมายเพียงนี้ พวกเราจะเอากลับไปเยี่ยงไรเล่า” ทหารในกองทัพใช่ว่าพวกเขาจะเรียกใช้ได้ตามใจชอบ ต่อให้ทำได้ เว่ยจวินมั่วก็ยังไม่มีอำนาจนั้น
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เจ้าซื้อไปเถิด ไม่ต้องกังวล”
“เช่นนั้นก็ดี” หนานกงมั่วแสดงท่าทีมีความสุข ซื้อของน่ารำคาญที่สุดก็คือการถือเอง เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้วจึงมีความสุขขึ้นมามากทีเดียว ดังนั้นวันทั้งวันในเมืองเล็กๆ จึงมองเห็นชายหญิงหน้าตางดงามโดดเด่นเดินเที่ยวซื้อของมากมาย ทำให้พ่อค้าแม่ค้าหลายคนยิ้มจนปากแทบหุบไม่ได้
“นี่ แม่นางมั่ว พวกเจ้าก็มาซื้อของหรือ” กำลังเดินอยู่บนถนน เสียงเอ่ยกลั้วหัวเราะคุ้นหูดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะ
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้น เห็นคุณชายฉังเฟิงกำลังยิ้มตาหยีมองมายังพวกเขา หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “คุณชายฉังเฟิงไยจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
“ขึ้นมาดื่มชาหรือไม่ ข้าจะเลี้ยงเอง”
ทั้งสองเดินขึ้นไปด้านบน มองเห็นคุณชายฉังเฟิงนั่งดื่มชาอยู่ริมหน้าต่างคนเดียว ตรงหน้ามีอาหารรสเลิศวางเรียงรายเต็มโต๊ะ เอาเถิด…เมืองเล็กๆ ก็ไม่ได้อร่อยเท่าใดนัก
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ลิ่นฉังเฟิง ไยเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
คุณชายฉังเฟิงเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ไยพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ข้าก็มาอยู่ที่นี่ได้เช่นนั้น”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ค่ายทหารของขุนพลเฉินไม่ได้ใกล้ที่นี่เลยสักนิด”
ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ “เอาล่ะ ข้ารับคำสั่งขุนพลเฉินนำจดหมายมาส่งให้ขุนพลจูของพวกเจ้า กำลังจะกลับไป”
หนานกงมั่วเข้าใจทันใด “ท่านกำลังอู้งานหรือ”
คุณชายฉังเฟิงไม่พอใจ “แม่นางมั่วเอ่ยเช่นนี้…ส่งจดหมายเพียงกลับไปก่อนฟ้ามืดก็พอแล้ว ตอนนี้…ยังห่างไกลกับฟ้ามืดอยู่มาก ข้าเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าคนพวกนั้น เพียงถือโอกาสมีเวลาเหลือมาลิ้มรสอาหารรสเลิศบ้าง จะเรียกว่าอู้งานได้เยี่ยงไร” มองไปยังทั้งสองคน ลิ่นฉังเฟิงอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาเอ่ยด้วยความอิจฉา “ข้าช่างอิจฉาเจ้าเสียจริง มีแม่นางมั่วนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาหารในค่ายทหารนั้นไม่อร่อยเพียงใด”
หนานกงมั่วปิดปากหัวเราะ “ข้าก็ยังเอ่ยเช่นเดิม หากไม่คุ้นชินก็ไม่ช่วยข้าจัดการทรัพย์สินเถิด ยินดีต้อนรับเสมอ”
ลิ่นฉังเฟิงเคาะจมูก ทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเพียงบ่นเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางเวลานั้น เอ่ยอย่างเสียดาย “หากอยู่ค่ายเดียวกันกับพวกเจ้าก็คงจะดี” ลืมไปจนสิ้นว่าก่อนหน้านี้หนึ่งวันเขายังกระโดดโลดเต้นดีใจที่จะได้หลุดพ้นจากเว่ยจวินมั่วอยู่เลย
“จริงสิ ได้ยินมาว่า…ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ไว้หน้าเจ้าอย่างนั้นหรือ” คุณชายฉังเฟิงมีความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาไปลอบสอบถามมาในค่ายของจูหง เขาไปแต่เช้า ดังนั้นจึงได้ยินเพียงข่าวของเมื่อวาน ยังไม่ทันได้ฟังข่าวของวันนี้ เว่ยจวินมั่วปรายตามองเขา คร้านจะตอบกลับ
ลิ่นฉังเฟิงยกมือขึ้นตบบ่าเขา เอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไร เวลาเนิ่นนานไปพวกเขาก็จะสัมผัสเห็นจิตใจที่เหี้ยมโหดของเจ้ามากกว่าไอ้หน้าขาว เปลือกนอกของเจ้า”
เว่ยจวินมั่วมองมือที่วางอยู่บนไหล่ตนเองด้วยสายตาราบเรียบ คุณชายฉังเฟิงรีบดึงมือของตนกลับมาจับถ้วยชาตรงหน้าแทน เอ่ย “ข้ารีบ คงต้องไปก่อนแล้ว จริงสิ ไม่ต้องกังวลพวกนั้น ได้ยินมาว่าเมื่อเช้านายทหารสี่คนใต้บังคับบัญชาของขุนพลจูถูกจัดการจนลุกไม่ขึ้น รบกวนแม้กระทั่งการฝึก เสี่ยวเอ้อร์ ห่อให้ข้าด้วย”
อาหารในค่ายไม่อร่อยเลยจริงๆ
มองคุณชายลิ่นเดินถือถุงอาหารเดินหายลับไปในกลุ่มคน หนานกงมั่วอดไม่ได้ส่ายศีรษะ “ดูเหมือนว่าคุณชายฉังเฟิงจะไม่ชินจริงๆ”
“อีกไม่นานเขาก็จะชอบเอง” เว่ยจวินมั่วดื่มชาไปหนึ่งจิบ เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ว่าเขาเอาอาหารกลับไปมากเพียงใด เขาก็ไม่ได้กินแม้เพียงคำหรอก”
“ทำไมหรือ”
“เพราะหัวหน้าของเขาจะช่วยเขากินเอง” มิใช่ว่าเขาตั้งใจไม่บอกลิ่นฉังเฟิงว่าเฉินอวี้เป็นนักกิน แต่เป็นจิ้งจอกนักกิน
ทั้งสองเดินซื้อของจนถึงบ่ายกว่าจะกลับไป และเมื่อมาถึงค่ายยังไม่ทันได้เข้าไปยังที่พักก็ได้ยินเสียงดังขึ้น ยังไม่ทันเอ่ยปากอันใด เว่ยจวินมั่วหันกลับมามองไปยังพวกเขา สายตามองไปยังหัวหน้ากองธงทั้งสอง “พวกเจ้ามาก็ดี พวกเขาของพวกนั้นกลับมาด้วย”
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกฟาดมายังหน้าผากของเผิงซิ่น เผิงซิ่นหยิบออกมาดู “นี่คืออันใดกัน”
ผ้าฝ้ายสิบผืน ข้าวสารหนึ่งร้อยจิน แป้งห้าสิบจิน เนื้อไก่ เป็ด ปลาตากแห้ง สมุนไพรตากแห้งเหล่านี้ เขียนเต็มหน้ากระดาษ ด้านบนยังมีที่อยู่ของของแต่ละชนิด เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเย็น “พาคนไปสี่คน กลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หากมาช้า…”
“กลับมาช้าแล้วอย่างไร” เผิงซิ่นเอ่ยถามด้วยความลังเล
มุมปากของเว่ยจวินมั่วยกขึ้น ทว่ากลับไม่เห็นถึงรอยยิ้มเลยสักนิด “พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเจ้าฝึกอีกครั้ง”
ได้ยินเช่นนั้น จึงพากันรีบแยกย้ายอย่างชาญฉลาด คนที่ฉลาดไม่เพียงพอนั้นยังยืนรอกระทั่งหัวหน้ากองธงทั้งสองหันกลับมาจึงค่อยแยกย้าย รอกระทั่งทั้งสองได้สติก็สายเกินไปแล้ว ทำได้เพียงรีบคว้าคนที่โชคร้ายเอาไว้ไม่กี่คน
“ท่านหัวหน้า ไว้ชีวิตด้วยขอรับ” คนที่ถูกจับได้ร้องโหวกเหวก เผิงซิ่นตบเบาๆ “กลัวอันใด มีข้าซวยไปด้วยกันกับพวกเจ้าด้วยมิใช่หรือ ยังไม่ไปอีก อยากโดนจริงๆ ใช่หรือไม่”
มองคนอื่นๆ รีบวิ่งออกไปโดยไว หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “นี่คือวิธีที่ท่านบอกหรือ”
คุณชายเว่ยเอ่ยด้วยท่าทางเรียบเฉย “พวกเขาจะช่วยเจ้าเอากลับมาโดยดี ต่อไปหากมีอันใดก็ให้พวกเขาช่วยเจ้าถือ”
“เช่นนี้จะไม่มีปัญหาจริงหรือ”
“นอกเสียจากพวกเขาอยากโดนต่อย”
“…” เช่นนี้จะไม่ทำให้พวกเขาทนไม่ไหวและลุกขึ้นมาต่อต้านหรอกใช่หรือไม่ หรือไม่ก็อาจจะลอบทำร้ายเจ้ายามอยู่ในสงคราม
ลานกว้างด้านหน้าเขตกองกำลัง หนานกงมั่วอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนกำลังนั่งเลือกสมุนไพร ผมที่เคยประดับตกแต่งงดงามเมื่อครั้งอยู่จินหลิงยามนี้กลับมีเพียงเชือกสีฟ้ามัดรวดขึ้นไปเพียงเท่านั้น เส้นผมสีดำสลวยคลอเคลียอยู่ด้านหลัง ท่าทางไม่เหมือนหญิงสาวที่แต่งงานแล้วทว่ากลับเป็นเหมือนสตรีในห้องหอคล้ายเด็กสาวทั่วไป
ตรงหน้ามีถาดไม้ไผ่ที่ถูกสานเป็นวงกลมอยู่หลายถาด ในนั้นมีสมุนไพรนานาชนิด ยาที่ซื้อมาจากร้านขายยาในเมืองเล็กๆ ทำให้หนานกงมั่วไม่พอใจในคุณภาพเท่าใดนัก ทว่ายามนี้นั้นทำอันใดไม่ได้ ในเมื่อบอกแล้วว่าจะไม่พึ่งอำนาจของเยี่ยนอ๋อง เช่นนั้นยามนี้นางก็ไม่อาจแตะต้องยาของกองทัพได้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อมีจูหงที่ไม่ชอบพวกตนอยู่ในกองทัพนี้อีกด้วย ไม่ใช่ทุกกองทัพจะมีหมอชราใจดีท่านนั้นเหมือนกองทัพของหนานกงไหว