“ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยและเว่ยฮูหยินอยู่หรือไม่” ในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด ด้านนอกประตูพลันมีเสียงดังขึ้น มองเห็นชายคนหนึ่งท่าทางคล้ายราชองครักษ์ยืนอยู่หน้าประตูกำลังมองมาที่พวกเขา เว่ยจวินมั่วลุกขึ้น “มีเรื่องอันใด”
ราชองครักษ์รีบเอ่ยตอบ “ท่านขุนพลเชิญผู้บังคับการกองร้อยเว่ยและเว่ยฮูหยินไปพบขอรับ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เอ่ย “ทราบแล้ว”
ใบหน้าผู้บังคับการกองร้อยเหยียนแสดงออกถึงความอิจฉา เอ่ยกับทั้งสองคน “ในเมื่อท่านขุนพลเรียกพบ ทั้งสองท่านก็รีบไปเถิด” ดูท่าทีของราชองครักษ์ผู้นั้น เห็นชัดว่าเป็นราชองครักษ์คู่กายของขุนพลจู สำหรับคนเช่นพวกเขาถูกท่านขุนพลเรียกเข้าพบนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง จะไม่อิจฉาได้เยี่ยงไร รีบบอกให้ทั้งสองรีบไป หนานกงมั่วไหว้วานอีกไม่กี่ประโยคเกี่ยวกับข้อระมัดระวังและการดูแลบาดแผล จากนั้นจึงเดินตามเว่ยจวินมั่วออกไป
อีกด้าน ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องนั้นไม่เพียงจูหงคนเดียวเท่านั้น ยังมีเยี่ยนอ๋องและนายทหารขั้นสูงคนอื่นๆ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่นเห็นชัดว่าเพิ่งมาถึงอย่างเร่งรีบ เดิมทีสงครามเช่นนี้เยี่ยนอ๋องไม่ต้องมาด้วยพระองค์เอง ทว่าเพราะปีนี้ชาวเป่ยเยียนผิดแปลกไปจากปกติ เยี่ยนอ๋องไม่ให้ความสำคัญมาด้วยตนเองคงไม่ได้
เยี่ยนอ๋องจิบชา เงยหน้าขึ้นไปมองจูหง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านจู ผู้บังคับการกองร้อยที่ข้ามอบให้ท่านไม่เลวใช่หรือไม่”
จูหงลูบจมูกเบาๆ ไม่มีสิ่งใดจะเอ่ย ต่อให้เขาไม่ถูกตากับคุณชายอย่างเว่ยจวินมั่ว ทว่าความดีความชอบของเขาก็เป็นที่ประจักษ์ เพิ่งเข้าสู่สนามรบครั้งแรกก็สังหารศัตรูเป็นร้อย อีกทั้งยังตัดหัวแม่ทัพของศัตรู แม้แต่หนานกงมั่วที่เขาประณามมากที่สุดเมื่อถูกพาเข้ามาอยู่ในกองทัพยังสามารถสังหารรองแม่ทัพได้ เขายังมีสิ่งใดต้องเอ่ยอีกเล่า
เฉินอวี้ที่นั่งอยู่ถัดลงมาจากเยี่ยนอ๋องเลิกคิ้วเอ่ย “ท่านจู ดูท่าแล้ว ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยคงต้องเลื่อนขึ้นแล้วหรือไม่ ความดีความชอบยิ่งใหญ่เพียงนี้ มอบตำแหน่งผู้บังคับการกองพันยังเหมาะสม”
จูหงส่งเสียงหยันอยู่ในลำคอ เอ่ย “เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับการกองพัน” ขุนพลจูอย่างข้าไม่ได้ยอมให้เพราะเห็นว่าเป็นหลานชายของเยี่ยนอ๋องหรอกนะ
เฉินอวี้หัวเราะออกมา ตบไหล่จูหง เอ่ย “เจ้านี่ช่างใจแคบ ความดีความชอบของเขาใช่ว่าไม่เพียงพอ มอบตำแหน่งผู้บังคับการกองพันก็นับว่าใจกว้าง เป็นถึงผู้นำกองทัพ ใจแคบเพียงนี้น่าเกลียดเพียงใด อีกทั้ง ท่านควรยินดีแล้ว คุณชายเว่ยเรียกว่าไว้หน้าท่าน ท่านลองถามท่านเซวียสิ เจ้าเด็กพวกนั้นของเขาวุ่นวายเพียงใด”
เซวียเจินยกถ้วยชาขึ้นมาพยักหน้าส่งให้ มองจูหงด้วยความอิจฉา เอ่ย “หากเจ้ายังไม่ถูกใจคุณชายเว่ย จะเปลี่ยนกับข้าหรือไม่ คนที่มาใหม่ในมือข้านั้นคงถูกใจท่าน แทบจะถล่มค่ายอยู่แล้ว”
“ไปไกลๆ เถิด ใครจะถูกใจเล่า” จูหงรีบโบกมือ การเป็นคนนั้นเขาชื่นชมความตรงไปตรงมาไม่เจ้าแผนการ แต่สำหรับการเป็นขุนพลเขาเองก็ไม่ได้ชื่นชอบคนที่ชอบก่อเรื่อง”
เฉินอวี้หัวเราะอย่างอดไม่ได้ เลิกคิ้วหันไปทางเยี่ยนอ๋อง เอ่ย “ท่านอ๋อง พระองค์ดูสิ ความจริงท่านจูเองก็ไม่อยากเสียคุณชายเว่ยไปหรอก”
นายทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างก้มหน้าเงียบไม่เอ่ยปาก เดิมทีเขามีความคิดจะดึงตัวผู้บังคับการกองร้อยเว่ยผู้นั้นมาเป็นคนของตน ทว่าเมื่อได้ฟังคนอื่นๆ เอ่ยแล้ว ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยผู้นี้ดูมีที่มาไม่ธรรมดา เห็นชัดว่าไม่ใช่คนที่เขาจะจินตนาการได้ ไม่แน่ว่าสักวันอาจได้กลายมาเป็นหัวหน้าของเขาก็เป็นได้
“กระหม่อมเว่ยจวินมั่วขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเย็นของเว่ยจวินมั่วดังขึ้นมาจากด้านนอก
“เข้ามา” เยี่ยนอ๋องเอ่ยตอบ
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเดินเข้ามา มองเห็นเยี่ยนอ๋องที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเหนือสุดกลับไม่รู้สึกตกใจเลยแม้เพียงนิด
“ถวายพระพรเยี่ยนอ๋อง คารวะขุนพลจู ขุนพลเฉิน ขุนพลเซวีย” ทั้งสองเอ่ยขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง
เฉินอวี้และเซวียเจินมองสบตากัน สุดท้ายก็อดทนไม่ได้หลีกหนีแต่อย่างไร พวกเขาเป็นขุนพล หากแม้แต่การคารวะจากผู้บังคับบัญชาการกองร้อยเพียงคนเดียวยังไม่กล้ารับ ทหารขั้นสูงที่ยืนอยู่ด้านข้างคงได้ตื่นตกใจกันพอดีน่ะสิ
มุมปากเยี่ยนอ๋องกระตุกขึ้น เลิกคิ้วเอ่ย “ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
เยี่ยนอ๋องมองทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างนอบน้อม โบกมือส่งสัญญาณให้นายทหารขั้นสูงที่ยืนอยู่ด้านข้างออกไป รอจนทุกคนออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงพวกจูหงไม่กี่คน ก่อนจะเอ่ย “นั่งลงคุยกันเถิด”
เว่ยจวินมั่วหันไปมองหนานกงมั่วที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ขอบพระทัยเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ เอ่ย “พวกเจ้าสองคน ใครก็ได้ลองเล่าเรื่องในสนามรบวันนี้มา”
เรื่องในสนามรบวันนี้นายทหารประจำด่านเข้าเมืองได้เล่าอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งสองรู้ว่าเยี่ยนอ๋องไม่ได้อยากฟังเรื่องเล่านี้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนานกงมั่วจึงเอ่ยปาก เล่าเหตุการณ์โดยละเอียดไปหนึ่งรอบ เมื่อฟังที่นางเล่าจบ พวกจูหงทหารระดับสูงทั้งสามอดไม่ได้หันไปมองสตรีที่ดูอ่อนหวานงดงามผู้นั้น ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องหนานกงมั่วไปอยู่ในกองทัพของหนานกงไหว แต่เพียงคิดว่าสตรีผู้นี้มีความกล้าก็เท่านั้น ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าสตรีผู้นี้มิเพียงมีความกล้า อีกทั้งความสามารถก็มีไม่น้อย นี่คือผู้มีความสามารถตัดหัวศัตรูท่ามกลางกองทัพทหารนับหมื่นนะ เฉินอวี้และเซวียเจินหันไปมองจูหงด้วยความอิจฉาอย่างอดไม่ได้ หันกลับมานึกถึงผู้ใต้บังคับบัญชาที่น่าปวดหัวไม่กี่คนของตน ต่อให้ไม่ได้เก่งกาจเท่าสองคนนี้ก็คงไม่ได้แย่ใช่หรือไม่
เยี่ยนอ๋องกลับมองหนานกงมั่วอย่างสนอกสนใจ เอ่ย “ที่แท้ฝีมือการยิงธนูของเจ้าก็ไม่เลวหรือ”
หนานกงมั่วหลุบตาลง “พอไปได้เพคะ” ยอดฝีมือความแม่นยำนั่นไม่เลวอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังฝึกซ้อมอาวุธลับด้วย อย่างน้อยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านักธนูทั่วไป
เยี่ยนอ๋องโบกมือ เอ่ย “ถ่อมตนแล้ว ลัวเฉิงเล่าให้ข้าฟังแล้วว่าเจ้านั้นไม่ธรรมดา” ลัวเฉิงก็คือทหารที่เฝ้าอยู่บนประตูเมือง และก็คือคนที่ขอร้องหนานกงมั่วคนนั้น และยังเป็นทหารชั้นสูงผู้ใต้บังคับบัญชาของจูหง
หนานกงมั่วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เยี่ยนอ๋องเองก็หันไปมองเฉินอวี้ เอ่ยถาม “ชาวเป่ยหยวนบุกมาในเวลาเช่นนี้ พวกเจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร”
เฉินอวี้ลูบปลายคาง เอ่ย “คงเป็นผลมาจากพายุหิมะเมื่อฤดูหนาวที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีชาวเป่ยหยวนไม่มีก็มาแย่งชิง นอกจากนี้…ฝั่งราชสำนักของเป่ยหยวนเองก็คงมีเป้าหมายบางอย่าง หรือว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ฮ่องเต้เป่ยหยวนผู้นั้นหลายปีแล้วที่ไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้ ไยจึงนึกฮึดสู้ขึ้นมาอีกเล่า”
เยี่ยนอ๋องยิ้มเย็น เอ่ย “ดูเหมือนว่าคงอยากโดนอีกแล้ว”
เยี่ยนอ๋องไม่เคยปิดบังการรบที่ดีของตนเอง มักไปเที่ยวเล่นยังทุ่งหญ้าในทุกๆ ปี เดินทางไปทั่วทุกพื้นที่ในเขตทุ่งหญ้า หากมิใช่เพราะคลังเสบียงไม่ดีนัก อีกทั้งยังไม่พะว้าพะวังกับฮ่องเต้ ไม่แน่ว่ายามนี้ชาวเป่ยหยวนอาจไปนั่งเก็บเห็ดอยู่ที่ไหนสักที่
ได้ยินเยี่ยนอ๋องเอ่ยเช่นนั้น นายทหารหลายคนดวงตาพราวระยับขึ้นมา “ท่านอ๋องคิดจะไปเดินเล่นที่เขตทุ่งหญ้าหรือพ่ะย่ะค่ะ” คงไม่ยอมให้เป่ยหยวนมาแย่งเราอยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาตีกลับไปดีหรือไม่
เยี่ยนอ๋องลูบปลายคางครุ่นคิด ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย “ตอนนี้ยังไม่ได้” เขาคงไม่ยอมเสียเงินเสียอาหารเพื่อไปตีเป่ยหยวนหรอก สุดท้ายจะเป็นผลร้ายต่อตนเอง ดังนั้นคงต้องรอไปก่อน อย่างน้อยต้องรอให้เรื่องนั้นในจินหลิงสงบลงไปก่อนค่อยว่ากัน
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนจึงซึมลง เป็นทหารไม่ทำสงคราม ชีวิตนี้จะมีความหมายอันใดเล่า
เยี่ยนอ๋องไม่สนใจว่าท่าทีของผู้ใต้บังคับจะดีหรือไม่ เอ่ยจริงจัง “แม้ไม่สามารถตีกลับไปได้ แต่เมื่อพวกเขาบุกเข้ามาเราก็ต้องสั่งสอนให้หนักๆ นับแต่นี้เป็นต้นไป ทุกหน่วยต้องส่งทหารสองหมื่นนายไปยังชายแดน ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะมีมากเพียงใด อย่าให้พวกเขาได้ข้าวไปแม้เพียงเม็ดเดียว”