หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 590 อิจฉาเพื่อนร่วมอาชีพ (2)

ตอนที่ 590 อิจฉาเพื่อนร่วมอาชีพ (2)

“เจ้าล่าหรือ ไม่เห็นเจ้าเอาธนูขึ้นเขาไปด้วยนี่” ยามไม่มีสงคราม ทหารไม่สามารถนำอาวุธออกไปจากค่ายทหารได้ อีกทั้งออกไปก็ต้องได้รับคำอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แม้พวกเขาเองยังทำได้เพียงแอบออกไปเที่ยวเล่นเป็นบางครั้งบางคราเท่านั้น หากถูกจับได้คงซวยเป็นแน่

ติงเสียวเถี่ยส่ายศีรษะอย่างตรงไปตรงมา “ฮูหยินล่าขอรับ”

ทุกคนมีสีหน้า ‘เจ้าอย่ามาหลอกข้า’ ออกมาอย่างแปลกประหลาด ฮูหยินผู้บังคับการกองร้อยของพวกเขาท่าทางอ่อนแอบอบบาง อีกทั้งยังมีผู้บังคับการกองร้อยหนุ่มนั่นค่อยปกป้องรับใช้สิ่งใดก็ไม่ให้ทำ บอกว่าฮูหยินเป็นคนล่าสัตว์มิสู้บอกว่าผู้บังคับการกองร้อยเป็นสตรีที่ปลอมตัวมายังง่ายเสียกว่า

ติงเสียวเถี่ยเอ่ยจริงจัง “จริงๆ นะขอรับ ฮูหยินเพียง…” เมื่อเอ่ยถึงความสามารถของฮูหยิน ติงเสียวเถี่ยก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจขึ้นมา จนคนอื่นๆ มองสบตากัน เจ้าเด็กคนนี้…มิใช่เข้าป่าไปเจอสิ่งเลวร้ายมาหรือไม่ เพียงแต่…ตอนนี้อย่าพึ่งสนใจเรื่องนี้…

“หึๆ เสียวเถี่ย สิ่งนี้ต้องย่างจึงจะอร่อย เจ้ากอดเอาไว้มันจะอิ่มได้เยี่ยงไร” เผิงซิ่นถูมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ติงเสียวเถี่ยกะพริบตาปริบ ได้ยินเผิงซิ่นเอ่ย “มิสู้ ข้าช่วยเจ้าย่างดีหรือไม่ ฝีมือของข้านั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี”

ติงเสียวเถี่ยมองเขา ลังเลอยู่นานสุดท้ายจึงส่งสิ่งที่อยู่ในมือของตนให้เขาอย่างไม่เต็มใจนัก เห็นท่าทีของเขา เผิงซิ่นอดไม่ได้ตบศีรษะของเขา เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เด็กโง่ นี่มีสิ่งใดทำใจไม่ได้กัน เลี้ยงเพื่อนร่วมที่พักของเจ้า ต่อไปพวกเขาจะได้ดูแลเจ้าอย่างไรเล่า”

แม้ในกองทัพจะวุ่นวายอยู่บ้าง แต่การรังแกติงเสียวเถี่ยที่ยังเป็นเด็กนั้นยังไม่เท่าใด เพียงแต่กินของเขารับของเขาไม่อาจปฏิเสธได้ ตอนนี้ติงเสียวเถี่ยถูกผู้บังคับการกองร้อยเรียกไปรับใช้คงมีคนไม่น้อยที่อิจฉาตาร้อน เมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่พักด้วยกัน อย่างไรก็ต้องดีกว่าสักนิด

ติงเสียวเถี่ยลูบหน้าผาก รู้ว่าเผิงซิ่นทำเพื่อเขา ความจริงเขาไม่คิดจะกินคนเดียว แต่นี่เป็นสิ่งที่ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยและฮูหยินมอบให้เขา เขาจึงทำใจได้ยาก

ดังนั้นทุกคนจึงหาสถานที่ย่างเนื้ออย่างดีอกดีใจ ระหว่างนั้นกลิ่นหอมได้เรียกผู้คนมาอีกมากมาย กลายเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครเชื่อว่าหนานกงมั่วเป็นคนล่าสัตว์พวกนี้

ภายในห้อง หนานกงมั่ววางหนังสือที่อ่านไปได้กว่าครึ่งลง ลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ทำอันใดอยู่หรือ”

เว่ยจวินมั่วยื่นมือไปดึงหนานกงมั่วลงสู่อ้อมแขนของเขา หนานกงมั่วเองไม่ต่อต้าน นั่งอยู่บนตักของเขาพลางก้มลงไปมองของที่วางอยู่บนโต๊ะ “นี่คืออันใดหรือ” บนโต๊ะตรงหน้าเว่ยจวินมั่วมีภาพแปลกประหลาดวางอยู่ หนานกงมั่วหยิบขึ้นมาดูชั่วครู่จึงเข้าใจว่ามันคือรูปอาวุธ มีธนู หอกยาวนานาชนิด

“ท่านใช้กระบี่มิใช่หรือ ไยจึงมีความสนใจต่อสิ่งเหล่านี้เล่า”

เว่ยจวินมั่วส่ายหน้า เอ่ย “ข้ากำลังศึกษาธนูของชาวเป่ยหยวน” เดิมการขี่ม้ายิงธนูของคนเป่ยหยวน อาณาจักรเซี่ยไม่อาจเทียบได้ แม้จะเป็นยี่สิบปีก่อนที่พวกเขาถูกขับไล่ออกจากที่ราบภาคกลาง นั่นสาเหตุส่วนใหญ่เพราะหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในที่ราบภาคกลางแล้วทำให้เกิดความเสื่อมโทรม หากเอ่ยถึงการทหาร นายทหารอาณาจักรเซี่ยหนึ่งนายเผชิญหน้ากับทหารม้าของเป่ยหยวน แปดถึงเก้าส่วนย่อมไม่มีโอกาสชนะ

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ศึกษาได้ผลแล้วหรือ”

เว่ยจวินมัวส่ายศีรษะ หากง่ายเพียงนั้นก็คงไม่ต้องให้เขามานั่งคิด คงแก้ปัญหาไปได้ตั้งนานแล้ว

หนานกงมั่วไม่รู้จักอาวุธเย็นเท่าเว่ยจวินมั่ว ทำเพียงเอ่ย “ท่านเองก็ไม่ต้องรีบร้อน เดิมกำลังของคนเป่ยหยวนก็ดีกว่าชาวที่ราบภาคกลางเช่นเรา อีกทั้งยังเติบโตมาบนหลังม้า ขี่ม้ายิงธนูไม่เก่งถึงจะแปลก” ว่ากันว่าอยากทำงานให้สำเร็จด้วยดี ต้องเตรียมเครื่องมือให้สะดวกใช้ไว้ก่อน ทว่าทุกคนล้วนใช้อาวุธเย็น ธนูของอาณาจักรเซี่ยเองก็ไม่ได้ด้อยเท่าใดนัก นี่เป็นปัญหาของสภาพร่างกาย คนในอาณาจักรเซี่ยอาจจะไม่เชี่ยวชาญธนูเหมือนเป่ยหยวน ปัญหาคือ…จะดึงศักยภาพออกมาได้สักกี่คนกัน

เว่ยจวินมั่วไตร่ตรองจริงจังอยู่สักพัก สุดท้ายจึงพยักหน้า เอ่ย “เจ้าเอ่ยไม่ผิด เป็นข้าที่คิดผิดไปเอง” การพัฒนาอาวุธแน่นอนว่ายังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ คิดก็พอแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญกว่านั้น “ข้ารู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร”

หนานกงมั่วรู้สึกว่าหนังตากระตุก “ท่านมีวิธีแล้วหรือ”

คุณชายเว่ยเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าบอกว่าร่างกายของชาวเซี่ยเราสู้เป่ยหยวนไม่ได้มิใช่หรือ ฝึกฝนมากๆ ก็พอแล้ว”

หนานกงมั่วก้มหน้า เรื่องนี้แน่นอนว่านางไม่ได้เป็นคนเตือนเขา

ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงอดไม่ได้เอ่ยเตือนเข้า “ระวังสักหน่อย อย่าทำให้เป็นเรื่องเล่า”

คุณชายเว่ยเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฝึกฝนเยอะๆ เมื่อยามสงครามจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ทำเพื่อพวกเขา”

ผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้บังคับการกองร้อยเว่ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม ผู้บังคับการกองร้อยที่พึ่งรับตำแหน่งใหม่ผู้นี้ราวกับกำลังคึกคัก ฝึกฝนพวกเขาในรูปแบบต่างๆ ทุกวัน ยามไม่มีศึกสงครามเดิมทีพวกเขาฝึกฝนเพียงหนึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว ทว่าพวกเขากลับต้องฝึกวันละสองชั่วยาม อีกทั้งยังไม่อาจเกียจคร้านต่อหน้าที่งานที่ตนได้รับ ทำให้ทุกคนสุดที่จะทนได้ ทว่าต่อต้านไม่เป็นผล…พวกเขามากมายเพียงนี้กลับสู้คนเพียงคนเดียวไม่ได้

นายทหารเขตอื่นๆ มองแล้วส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ เพียงคิดว่าคุณชายสูงส่งผู้มีฐานะลึกลับผู้นี้กำลังตื่นเต้นกับตำแหน่งใหม่ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ดิ้นรนกับความทุกข์ทรมานอยู่ทุกวัน

เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าไม่เกี่ยวอันใดกับหนานกงมั่ว หนานกงมั่วที่รู้สึกผิดกับทุกคนจึงไม่ไปแปลงเกษตรและสนามฝึกซ้อมบ่อยหนัก เพียงพาติงเสียวเถี่ยขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรบ้างหรืออยู่ที่บ้านคอยจัดการสมุนไพรบ้าง

ติงเสียวเถี่ยย่อตัวพลิกสมุนไพรที่กำลังจะแห้งอยู่บนพื้น พร้อมทั้งท่องความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่หนานกงมั่วสอนเขาไปด้วย เงยหน้าขึ้นมามองหนานกงมั่วที่กำลังปรุงยาเป็นระยะ หนานกงมั่วเอ่ยเบาๆ โดยไม่เงยหน้า “มีอันใดก็เอ่ยมาเถิด” ติงเสียวเถี่ยรีบก้มหน้า ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเงยหน้าขึ้นมา เอ่ย “หลายวันมานี้ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยดูเข้มงวด…ทุกวันข้ากลับไปเห็นพวกเขาเหนื่อยไม่เบาเลยขอรับ”

“เหนื่อยๆ ไป เดี๋ยวก็คุ้นชินไปเอง” หนานกงมั่วเหลือบตามองเขาเล็กน้อย เอ่ย “หรือว่าเจ้าอยากไปฝึกกับพวกเขาหรือ”

ติงเสียวเถี่ยหกศีรษะ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก หนานกงมั่วเอ่ย “ตากเสร็จแล้วก็ไปวิ่งรอบสนามฝึกซ้อมสิบรอบ จากนั้นกลับมาทำท่านั่งม้า”

ติงเสียวเถี่ยไม่รู้สึกสงสารคนอื่นขึ้นมาทันใด ยามนี้เขาต้องสงสารตนเอง นับตั้งแต่ติดตามฮูหยิน ความจริงก็ไม่มีอันใดให้เขาทำมากนัก เพียงช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วนับว่าสบายกว่ามาก เพียงแต่ทุกวันฮูหยินจะให้เขาวิ่งรอบสนามฝึกซ้อมและทำท่านั่งม้า แรกเริ่มมือเท้าเขาอ่อนแรงเสียยิ่งกว่าคนอื่นๆ ที่ได้รับการฝึกจากผู้บังคับการกองร้อยเว่ยเสียอีก ทว่าสิบกว่าวันมานี้นับว่าคุ้นชินแล้ว ไม่คิดว่าฮูหยินจะเพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อวานยังห้ารอบเอง วันนี้กลายเป็นสิบรอบเสียแล้ว…

“ยังไม่รีบไปอีก วิ่งยังวิ่งไม่ออก ในสนามรบเจ้าคิดจะทำอันใดได้” หนานกงมั่วเอ่ย

“อ้อ” ติงเสียวเถี่ยก้มหน้าก้มตาวิ่งออกไปอย่างว่าง่าย

มองเด็กน้อยที่วิ่งไกลออกไป มุมปากของหนานกงมั่วเผยรอยยิ้มบางๆ ก้มหน้าบดยาในมือต่อไป กระทั่งได้ยินเสียงเท้าเดินเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้น มองเห็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบมองมาที่ตนด้วยใบหน้าขมวดมุ่น หนานกงมั่วเลิกคิ้ว นางไม่เคยเห็นคนผู้นี้ มองดูแล้วไม่เหมือนนายทหารในกองทัพ

[1] อาวุธเย็น หมายถึงอาวุธที่ไม่เกี่ยวข้องกับไฟหรือการระเบิดอันเป็นผลจากการใช้ดินปืนหรือระเบิดอื่นๆ

[2] ท่านั่งม้า ท่ายืนม้า เป็นท่าที่สำคัญของศิลปะการต่อสู้ของจีน เป็นท่าทางที่มีลักษณะเหมือนนั่งบนหลังม้า

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท