หนานกงมั่วไม่เข้าใจ “หากเป็นซิงเวยก็ยังพอว่า แต่หลิ่วหันคงจะไม่เหมาะหรอก อีกอย่างในค่ายทหารก็ไม่ได้อันตรายสักหน่อย พวกเขาอยู่ข้างนอกยังพอจะช่วยข้าทำธุระได้”
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้าพลางเอ่ย “ให้หลิ่วหันเข้ามาจะได้ช่วยงานเจ้าบ้าง” ในเมื่ออู๋สยาสามารถเข้ามาได้ หากจะให้ผู้หญิงเข้ามาอีกคนก็คงมิใช่เรื่องยากอันใด
หนานกงมั่วก็เข้าใจได้ในทันที อดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางเอ่ย “เหตุใดท่านถึงยังคิดเรื่องนี้อยู่อีก ท่านจะให้ข้าพาสาวใช้กับบ่าวรับใช้ชายเข้ามาในค่ายทหารด้วยหรือ น่าเสียดายที่ท่านยังไม่ได้เป็นแม่ทัพ ซิงเวยและหลิ่วหันพวกเขาล้วนไม่ว่างทั้งคู่ก็เลยเข้ามาไม่ได้ การที่ท่านได้ทานอาหารฝีมือแม่นางเช่นข้าถือเป็นความโชคดีของท่านแล้ว เข้าใจหรือไม่”
“ไม่ใช่แม่นาง” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หนานกงมั่วศอกไปที่หน้าท้องของเขาหนึ่งครั้งพร้อมกับกลอกตามองบน “ก็ได้…ไม่ใช่แม่นางก็ได้ การที่ท่านได้ทานอาหารฝีมือฮูหยินเช่นข้าถือเป็นความโชคดีของท่าน ท่านควรจะถนอมความโชคดีนี้ไว้ เข้าใจหรือไม่”
“อืม” เว่ยจวินมั่วเอื้อมมือคว้าตัวของหนานกงมั่วเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ตอนที่เขาเพิ่งกลับมาก็เห็นอู๋สยาสวมชุดธรรมดาๆ ยืนทำกับข้าวอยู่หน้าเตาไฟจู่ๆ ในใจของคุณชายเว่ยก็รู้สึกอบอุ่นและตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ออกจะค่อนไปทางปวดใจเสียมากกว่า ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าหนานกงมั่วไม่ได้เป็นเหมือนเช่นบุตรีของตระกูลผู้ดีทั่วไปที่ต้องคอยประคบประหงมทะนุถนอมดุจหยกดุจทองคำ และไม่เคยต้องแตะงานบ้านงานเรือน ทว่าก็ไม่อยากให้นางต้องมาลำบากแม้สักเล็กน้อย เป็นความคิดที่ขัดแย้งกันมาก เขาอยากให้นางอยู่เคียงข้างกายตลอดเวลาแต่ก็อยากจะให้นางใช้ชีวิตสุขสบาย ให้สมเกียรติและศักดิ์ศรีที่สุด น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำให้สองอย่างนี้เกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน สุดท้ายเว่ยจวินมั่วก็ทำได้เพียงกล่าวโทษตนเองที่ไม่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งพอ
หนานกงมั่วรีบผลักเขาออกเป็นพัลวัน “ออกไปเลย รู้หรือไม่ว่าเนื้อตัวของท่านสกปรกแค่ไหน”
“…” คุณชายเว่ยก้มหน้ามองดูเสื้อผ้าที่เลอะไปด้วยฝุ่นผงของตนเอง สุดท้ายเขาก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความหงุดหงิด เพราะเจ้าพวกนั้นแท้ๆ
ลานกว้างที่ห่างจากกองกำลังไปไม่ไกลเท่าใดนัก กลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังนอนทับกันแขนขาชี้ไปคนละทิศละทาง ผู้คนที่ยืนมุงดูมีมากกว่าคนที่นอนอยู่บนพื้นด้วยซ้ำ ต่างก็กำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์คนที่นอนอยู่บนพื้นไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นเลย มิใช่เพราะพวกเขาไม่อยากจะลุก แต่เพราะ…แค่ขยับตัวเพียงนิดเดียวก็ปวดร้าวไปทั้งตัวต่างหาก!
“เจ้าเด็กหน้าขาวนั่น…มือหนักใช่ย่อย เหล่าเผิง พวกเรา…พวกเราพอแค่นี้เถิด อย่าไปยุ่งกับเขาเลย” หัวหน้ากองธงใหญ่อีกคนที่อยู่ในกองกำลังของเว่ยจวินมั่วกำลังนอนอยู่ด้านหลังเผิงซิ่น เขาแซ่จินนามว่าซาน ค่อนข้างสนิทกับเผิงซิ่น ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีตำแหน่งเท่ากัน แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้
เผิงซิ่นนวดคลึงที่เอวเบาๆ พลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “พอแค่นี้หรือ”
คนที่นอนทับกันอยู่ข้างๆ ต่างก็พากันจ้องมองทั้งสองด้วยสายตาฉุนเฉียว คนตั้งร้อยคนแต่กลับสู้คนคนเดียวไม่ได้ ไม่ยอมแพ้แล้วจะทำสิ่งใดได้อีก
เผิงซิ่นที่ทำให้ทุกคนต้องมาเจ็บแค้นก็ทำได้เพียงกัดกรามแน่นพร้อมกับเอ่ยลอดไรฟันว่า “ช่างเถิด พอแค่นี้ก็แล้วกัน เจ้าเด็กนั่น…มีฝีมือไม่น้อย”
“อ้าว หัวหน้ากองธงเผิง ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยคนใหม่ของพวกเจ้าไม่ใช่แค่ฝีมือไม่เบาเท่านั้นใช่หรือไม่” ผู้คนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็พากันโห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาเป็นผู้ชมที่คอยเฝ้าดูทุกเหตุการณ์ของคุณชายผู้มีใบหน้างดงามเช่นเว่ยจวินมั่วที่สามารถล้มคนนับร้อยได้ด้วยตัวคนเดียว กลุ่มคนที่ไม่เคยต่อต้านเผิงซิ่นเลยก็เริ่มหัวเราะเยาะเขาขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายผู้นั้นมิใช่แค่ฝีมือไม่เบาเท่านั้น ทว่ามีฝีมือเป็นเลิศต่างหาก หากพวกเขาสามารถฝึกวิชาได้สักเสี้ยว ต่อไปภายภาคหน้าเวลาอยู่ในสนามรบก็อาจจะมีโอกาสรอดตายเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้ เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยพากันจ้องมองไปที่เขาด้วยแววตาที่อิจฉา
เผิงซิ่นสบถเสียงในลำคอเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่พอใจนักว่า “ถึงข้าสู้เจ้าเด็ก…ผู้บังคับการกองร้อยเว่ยไม่ได้ แต่จะให้จัดการพวกเจ้าก็ไม่ได้เกินกำลังข้าเลย!”
ผู้คนต่างก็พากันโห่ร้องเสียงดังขึ้นมาทันที เมื่อเห็นเขากำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้น ทุกคนก็พากันแยกย้ายทันที ใครมันจะอยากไปสนใจคนที่ถูกซ้อมจนลุกขึ้นไม่ไหวกันเล่า
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนานกงมั่วก็มีเวลาว่างไปเดินรอบค่ายทหารพร้อมเว่ยจวินมั่ว ค่ายทหารแห่งนี้มีทหารราวหนึ่งหมื่นนายเห็นจะได้ พื้นที่จึงกว้างขวางเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม เว่ยจวินมั่วเพียงแค่ต้องดูแลทหารหนึ่งร้อยนายที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาเท่านั้น อีกอย่างพื้นที่แห่งนี้ก็มีหัวหน้ากองธงใหญ่สองคนและหัวหน้ากองธงเล็กอีกสิบคนที่ต้องรับผิดชอบดูแลพื้นที่แห่งนี้อยู่แล้ว เว่ยจวินมั่วจึงไม่ต้องดูแลสิ่งใดมากมายนัก
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันในค่ายทหารเช่นนี้ย่อมตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าเมื่อเช้าเว่ยจวินมั่วได้อ้าแขนรอคนเหล่านั้นเข้ามาหาเรื่อง ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องเขาแม้แต่คนเดียว หนานกงมั่วค่อนข้างแปลกใจกับสายตาหวาดผวาของคนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก “ท่านไปทำอันใดมาหรือ พวกเขา…ดูแล้วเหมือนกำลังหวาดกลัวท่านอย่างไรอย่างนั้น”
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่มีอันใด เพียงต่อสู้กันนิดๆ หน่อยๆ”
หนานกงมั่วชะงักไปชั่วครุ่ คุณชายจื่อเซียวใช้วรยุทธ์ของตนเองไปสั่งสอนคนพวกนั้น ย่อมเป็นการบดขยี้ที่ไร้ซึ่งจุดบอดเป็นธรรมดา
เว่ยจวินมั่วเข้ามาจูงมือนางแล้วพาเดินออกไปด้านนอก จากนั้นจึงเอ่ย “เราไปซื้อของใช้ข้างนอกกัน”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ ยามที่ทั้งคู่มาที่นี่ก็ไม่ได้เตรียมข้าวของมาครบครันเท่าใดนัก จึงมีของใช้ที่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มอยู่
ทั้งสองเดินไปยังทิศทางประตูใหญ่ของค่ายทหาร ก็เห็นเผิงซิ่นพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนพิงชั้นไม้อยู่ไม่ไกลมากนัก เผิงซิ่นเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีหาเรื่อง “ผู้บังคับการกองร้อยเว่ย เพิ่งจะเข้ากองทัพมาไม่นาน ริอ่านจะแอบพาสาวไปเที่ยวข้างนอกแล้วหรือ” คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันหัวเราะขึ้น เว่ยจวินมั่วหันกลับไปจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าเผิงซิ่นกลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลังจนต้องรีบหดคอเป็นเต่าทันที เพียงชั่วอึดใจก็มีเสียงลมพัดผ่านข้างหูด้วยความเร็วสูง จากนั้นเผิงซิ่นก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาจากโครงชั้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง พอหันหน้ากลับไปดูจึงเห็นว่าเสาของโครงไม้ที่มีขนาดเท่าต้นแขนแตกออกเป็นสองท่อนและกำลังล้มมาทางเขา
ทุกคนจึงพากันกลิ้งหนีไปคนละทาง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นโครงของชั้นไม้ที่แตกออกเป็นสองท่อน เผิงซิ่นตกใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก คนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ตกใจจนตัวแข็งทื่อไปหมด เมื่อได้สติ พวกเขาจึงเข้ามาตบบ่าปลอบใจพลางเอ่ยด้วยความเห็นใจว่า “สหาย ถนอมตัวด้วย”
เผิงซิ่นรีบหันกลับไปมองด้านหลังทันที ทว่าเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วได้หายตัวไปตั้งนานแล้ว
หนานกงมั่วกำลังจูงมือของเว่ยจวินมั่วมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กๆ แห่งนั้นด้วยความดีใจ ขณะที่เดินอยู่นั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ยถาม “เจ้าขำอันใดหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “คนพวกนั้นมาหาเรื่องท่านเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว กับแค่คนพวกนี้คุณชายเว่ยยังจัดการไม่ได้ หากข่าวลือแพร่งพรายออกไป มิถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรือ”
เว่ยจวินมั่วไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขาเพียงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเขาจะเชื่อฟังในอีกไม่ช้า จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้” เพิ่งเข้ามาในค่ายทหารเป็นครั้งแรก หากไปสร้างเรื่องใดขึ้นมา เกรงว่าจูหงคงจะรีบวิ่งแจ้นไปฟ้องเสด็จลุงอย่างแน่นอน เขาคร้านจะฟังเสด็จลุงพร่ำบ่นแล้ว
“ข้าจะคอยดู” หนานกงมั่วยิ้มตาหยี สีหน้ารอดูเรื่องสนุกๆ ที่จะเกิดขึ้น
เมืองเล็กๆ อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ฝีมือวรยุทธ์ของทั้งสองก็พอตัว ใช้วิชาตัวเบาไม่ถึงสองชั่วยามก็เดินทางมาถึง เพราะตั้งอยู่ใกล้กับด่านของชายแดนจึงมีคนจากเมืองอื่นมาซื้อขายแลกเปลี่ยนข้าวของเป็นบางครั้งบางคราว แม้แต่คนในค่ายทหารเองก็มาซื้อของจากที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก
“ซื้อสิ่งใดบ้างหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น ปกติยามที่นางเดินตลาดก็มักจะดูแต่ของจำพวกเครื่องประดับ เสื้อผ้า และเครื่องเคลือบโบราณ ไม่ก็ไปนั่งจิบน้ำชา ทว่าไม่เคยไปเดินซื้อของที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเขาซื้อกันเลย นางย่อมใช้ชีวิตเหมือนเช่นชาวบ้านทั่วไม่ได้อยู่แล้ว เพราะชาวบ้านทั่วไป เงินหนึ่งตำลึงสามารถอยู่ได้หนึ่งเดือน ทว่าสำหรับพวกนางแล้ว เงินหนึ่งตำลึงแทบไม่พอทำอันใดเลย
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เจ้าอยากจะซื้อสิ่งใดก็ตามใจเจ้าเถิด”