หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ท่านขุนพลชมเกินไปแล้ว”
นายทหารชั้นสูงผู้นั้นส่ายหน้า มองไปตามสายตาของหนานกงมั่ว มองเห็นชายหนุ่มผู้ไร้เทียมทานไม่อาจมีใครสู้เขาได้อยู่กลางสนามรบ เลิกคิ้ว เอ่ย “นั่นคือผู้บังคับการเว่ยหรือ” แม้ไม่เคยพูดคุยกับเว่ยจวินมั่วมาก่อน ทว่าเพียงมองก็รู้ได้ คงมีเพียงบุรุษที่ดูโดดเด่นผู้นั้นจึงจะเหมาะสมกับสตรีงดงามเช่นนี้
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ เอ่ยถาม “ท่านขุนพล ข้าลงไปได้หรือไม่”
นายทหารชะงัก เอ่ย “เจ้าอยากไปสังหารศัตรูหรือ” แม้เขาไม่เคยผ่านประสบการณ์การรบเมื่อครั้งก่อตั้งประเทศ แต่พอเคยได้ยินมาว่าในกองทัพนั้นมีวีรบุรุษอยู่ไม่น้อย แต่สตรีที่ลงไปต่อสู้ในสนามรบเองเขายังไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้เมื่อครู่จะได้เห็นฝีมือการยิงธนูของหนานกงมั่วไปแล้ว ทว่าเมื่อมองสตรีใบหน้าเรียวสวยตรงหน้า ยังรู้สึกว่าคงไม่เหมาะ การสู้รบกับศัตรูในสนามรบด้วยตนเองกับการยิงธนูอยู่ในที่ไกลๆ นั้นแตกต่างกัน
หมอหลายคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็มองสตรีชุดสีฟ้าอ่อนด้วยท่าทีตกตะลึง ท่านหมอซือผู้ที่ไม่ถูกชะตากับหนานกงมั่วมาตลอดยิ่งกลอกตา เอ่ยวาจาเสียดสี “เว่ยฮูหยิน ยามนี้เป็นศึกสงครามมิใช่การเที่ยวเล่นในค่าย เจ้าอย่าได้สร้างปัญหาให้ท่านขุนพลเลย”
หนานกงมั่วปลายตามองเขา คร้านจะโต้ตอบ ในยุคนี้ไม่มีแพทย์สนาม ล้วนต้องรอให้สงครามเสร็จสิ้นจึงส่งคนไปตรวจดูสนามรบ จากนั้นพาคนบาดเจ็บมารักษา สำหรับผู้ที่รอจนถึงสงครามเสร็จสิ้นไม่ไหวตายไปก่อนหรือผู้ที่ต้องตายไปเพราะคมดาบของศัตรูจำต้องยอมรับความโชคร้ายนั้น
หนานกงมั่วชี้ไปยังมุมมุมหนึ่ง เอ่ย “ตรงนั้นรับไม่ไหวแล้ว”
ครั้งนี้เห็นได้ว่าชาวเป่ยหยวนนั้นมีการเตรียมตัวมาแล้ว มีความรู้มากกว่านายทหารเฝ้ายามอยู่ที่นี่มาก แม้ว่าฝ่ายสนับสนุนพวกเขาจะมาถึงทันเวลา ทว่าเดินทางอย่างเร่งรีบมาถึงก็ลงสนามรบในทันที คงไม่อาจสู้กำลังของเป่ยหยวนที่รอพวกเขาอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
นายทหารผู้นั้นรีบมองไป สีหน้าเปลี่ยนไปทันที มุมฝั่งซ้าย พลทหารถูกบีบให้ล่าถอยกลับมา มองเห็นชาวเป่ยหยวนกำลังจะพังทลายช่องเข้ามาแล้ว จึงรีบโบกธงในมือออกคำสั่งให้ทหารที่อยู่ใกล้เข้าไปเสริมทหารที่อยู่ตรงนั้น
นายทหารมองด้านข้าง กองกำลังทหารที่มาถึงนั้นเป็นกองกำลังจากค่ายที่อยู่ใกล้ที่สุด แม้ว่ากองกำลังเสริมจะเดินทางมาได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง ทว่าอย่างไรก็ต้องใช้เวลาสองสามชั่วยามกว่าพวกเขาจะมาถึง ในมือเขายามนี้ไม่ได้มีกำลังทหารมากมายนัก
“เว่ยฮูหยิน” กัดฟันอยู่ชั่วครู่ นายทหารจึงเอ่ยขึ้น
หนานกงมั่วหันกลับไปมองเขา นายทหารชี้ออกไปไกล เอ่ยถาม “ธนูของเจ้ายิงไปถึงสองคนนั้นหรือไม่”
หนานกงมั่วมองออกไป ด้านข้างสนามรบมีชายชาวเป่ยหยวนสองคนอยู่บนหลังม้าที่เดินไปมา พวกเขาดูกล้าหาญไม่ธรรมดา แตกต่างจากคนทั่วไป
นายทหารเอ่ยเสียงเข้ม “ผู้ที่นำทัพมาปิดล้อมที่นี่คือแม่ทัพอันหย่วนและรองแม่ทัพ มีทหารใต้บังคับบัญชาหนึ่งหมื่นห้าพันนาย ข้าเคยต่อสู้กับเขามาหลายครั้ง ครั้งนี้เกรงว่าคงเป็นเขาที่เป็นคนนำทัพ”
หนานกงมั่วมองดูอย่างจริงจัง ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย ไกลเกินไป อีกทั้งทักษะการขี่ม้าของสองคนนั้นดูท่าว่าจะไม่ธรรมดา ทักษะการยิงธนูของนางก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เห็นนางส่ายศีรษะ นายทหารแม้จะเสียดายเล็กน้อยทว่าไม่ได้ผิดหวัง หากสามารถสังหารแม่ทัพได้ง่ายเพียงนั้น สงครามก็คงไม่ยากเพียงนี้
“เพียงแต่…” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าสังหารเขาได้”
“ว่าอันใดนะ” นายทหารตื่นตกใจ หันกลับมามองหนานกงมั่วในทันที “เว่ยฮูหยิน เจ้าบอกว่า…เจ้าสามารถ…”
หนานกงมั่วเม้มปากยิ้ม “สังหารเขา”
นายทหารจ้องมองหนานกงมั่วนิ่ง มีท่าทีลังเล เห็นชัดว่ากำลังไตร่ตรองว่าวาจาของหนานกงมั่วนั้นเชื่อได้หรือไม่ หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ไยท่านขุนพลต้องลังเลไม่มั่นใจเพียงนี้ ต่อให้ข้าพ่ายแพ้ก็มิได้มีความสูญเสียอันใดต่อท่านมิใช่หรือ”
นายทหารเป็นใบ้ นั่นน่ะสิ ต่อให้ทำไม่สำเร็จเขาหรือกองทัพก็ไม่ได้สูญเสียอันใด อย่างมากก็เพียงมีสตรีที่ตายไปหนึ่งคน ในที่สุดนายทหารจึงพยักหน้า กัดฟันเอ่ย “เช่นนี้ คงต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”
หนานกงมั่วพยักหน้า “เป็นหน้าที่ของข้า”
เห็นนายทหารตอบรับโดยง่าย ท่านหมอซือกำลังจะอ้าปากเอ่ยสิ่งใดทว่าเห็นสายตาเรียบนิ่งของหนานกงมั่วกวาดมาที่เขา ประสานมือขึ้นมาตรงหน้าและกระโดดลงไปทันที
หนานกงมั่วกระโดดลงมาทว่าไม่ได้ดึงความสนใจจากผู้คนมากนัก ทว่าหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าไม่รวมเว่ยจวินมั่ว แม้คุณชายเว่ยกำลังอยู่ในสนามรบทว่าสายตาสอดส่องไปทั่วทิศหูฟังทุกแห่งหน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่เพิ่งมองเห็นหนานกงมั่วยิงธนูช่วยชีวิตของเผิงซิ่น
แม้การฆ่าฟันในสนามรบจะไม่หยุดหย่อน แต่สภาพการณ์โดยรวมไม่นับว่าวุ่นวาย รอบตัวเว่ยจวินมั่วแน่นอนว่าล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เพียงแต่สีหน้าของพลทหารนั้นแปลกประหลาด ติดตามผู้บังคับการกองร้อยเว่ยนั้นปลอดภัย เพราะศัตรูทุกคนล้วนถูกเขาสังหารเพียงผู้เดียว แต่ว่า…หากติดตามผู้บังคับการกองร้อยเว่ยแล้วพวกเขาจะมีความดีความชอบได้เยี่ยงไร กองทัพของอาณาจักรเซี่ย ความดีความชอบก็คือศีรษะของศัตรูนะ
เว่ยจวินมั่วหันกลับไปมอง เผิงซิ่นที่ติดตามเว่ยจวินมั่วอยู่ห่างๆ เองก็หันกลับไปมองตามเขา แน่นอนว่ามองเห็นหนานกงมั่วที่กำลังยกเท้าถีบทหารเป่ยหยวนคนหนึ่งอยู่ในสนามรบ หากไม่ได้อยู่ในสนามรบเผิงซิ่นคงเอาหัวโขกกำแพงไปแล้ว “นาง…นางจะทำอันใดอีก”
ติงเสียวเถี่ยอยู่ด้านหลังของพวกเขา เอ่ยเสียงเบา “ข้าบอกแล้วว่าฮูหยินนั้นเก่งกาจมาก…”
“…” ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยใส่ใจกับวาจาของติงเสียวเถี่ย
หนานกงมั่วกลับไม่ได้มุ่งหน้ามาทางพวกเขา ทว่าส่งสัญญาณมือให้เว่ยจวินมั่วอยู่ไกลๆ เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้า มองมาที่ทุกคน เอ่ยเสียงทุ้ม “อยู่กันดีๆ เล่า”
“ท่าน…ผู้บังคับการเว่ย ท่านจะไปไหน” หนีไประหว่างสงครามนั้นมีโทษตายนะ
เว่ยจวินมั่วใช้สายตาที่ทำให้เขาดูโง่เขลา จากนั้นกระโดดลอยขึ้นไปภายใต้สายตางุนงงของทุกคน ขณะเดียวกันสตรีในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเองก็กระโดดตามขึ้นไป ร่างในอาภรณ์สีดำและสีฟ้าอ่อนลอยเคียงคู่มุ่งตรงไปยังด้านข้างสนามรบ เริ่มแรกนั้นไม่ได้ดึงดูดสายตาผู้คนนัก ใช่ว่าในกองทัพจะไม่มียอดฝีมือมาบ้าง ทว่าในสงครามที่มีผู้คนนับหมื่น ยอมฝีมือสองคนนั้นเป็นดั่งสายน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรนั้นไม่ประหลาดใจกับคลื่นเพียงเล็กน้อย
จนกระทั่ง…
“เกิดอันใดขึ้น นั่นเป็นใครกัน” สุดขอบของสนามรบ แม่ทัพของเป่ยหยวนนั่งอยู่บนหลังม้าดวงตาทะมึน เอ่ยขึ้นเสียงดัง กระบี่ยาวในมือของชายชุดดำส่องแสงเย็นเยียบ พลังของดาบคุกคาม ในมือของสตรีชุดสีฟ้าอ่อนกลับไม่มีอาวุธอันใด ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกไม่ปลอดภัยได้เช่นกัน
“พลธนู ยิงธนู” เดิมแม่ทัพอันหย่วนสัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัย จึงออกคำสั่งทันที
หากปะปนอยู่กับกลุ่มคนนั้นอาจไม่สามารถยิงได้ง่ายๆ แต่สองคนนี้กลับลอยอยู่เหนือศีรษะของพลทหารเหล่านั้นขึ้นมา เป็นเป้าของพลธนูได้เป็นอย่างดี
ใบหน้าของเว่ยจวินมั่วเยือกเย็น กระบี่ยาวในมือพุ่งเข้าไป ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาทั้งสองร่วงหล่นลงไป ขณะเดียวกัน หนานกงมั่วตวัดมือ เข็มสีเงินนับสิบเล่มก็พุ่งออกไป ยังไม่ทันได้ง้างธนูเป็นครั้งที่สองก็ล้มลงไปเสียแล้ว ทั้งสองต่างก็เป็นมือสังหารขั้นหนึ่ง ต่อให้อยู่ท่ามกลางกองทัพมีพลทหารนับหมื่นก็รู้ดีว่าควรใช้วิธีใดเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายของตนได้ไวที่สุด