ท่านหมอเวินรู้สึกยินดีขึ้นมา ไม่คิดว่าหนานกงมั่วจะใจกว้างเช่นนี้ มองไปยังเว่ยจวินมั่วด้วยท่าทีสงสัยโดยไม่อาจห้ามได้ เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ย “ตามที่อู๋สยาเอ่ย”
“เช่นนี้ ข้าต้องขอบคุณทั้งสองท่านแทนกองทัพด้วย” ท่านหมอเวินยกมือขึ้นประสานตรงหน้า มีภาพจำที่ดีต่อหนานกงมั่วมากยิ่งขึ้น แม้จะเป็นสตรี ทักษะทางการแพทย์ไม่เลวไม่พอ อีกทั้งความกล้าที่ยากจะเห็นได้ง่ายๆ แล้วยังมีเมตตามีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเทียบกันแล้วท่านหมอซือยังห่างไกลอีกมากทีเดียว
บอกลาท่านหมอเวิน ทั้งสองจึงจูงมือกันกลับเขตกองพัน เมื่อครู่เห็นคนไม่ถูกตาถูกรุมทำร้าย หนานกงมั่วอารมณ์ดี ดังนั้นจิตใจจึงเบิกบานขึ้นมากว่าหลายเท่า เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว “อู๋สยาอารมณ์ดีหรือ” หนานกงมั่วไม่ปฏิเสธ “เมื่อครู่ได้รับรางวัล แน่นอนว่าต้องอารมณ์ดีสิ” แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือได้ระบายอารมณ์
เว่ยจวินมั่วมีหรือจะดูไม่ออกว่าเพราะเหตุใด เอ่ยเสียงเรียบ “คนแซ่ซือเอ่ยอันใดเจ้าจึงไม่พอใจเพียงนี้ ไยอู๋สยาจึงไม่ยอมให้ข้าลงมือกับเขา” เรื่องที่สำนักแพทย์ทำไมเว่ยจวินมั่วจะไม่รู้ หากมิใช่เพราะหนานกงมั่วห้ามเอาไว้ ท่านหมอซือคงไม่ได้รอให้คุณชายพวกนั้นรุมทำร้ายหรอก
หนานกงมั่วกุมมือของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปเรื่องเช่นนี้คงได้เจอไม่น้อย หรือว่าจะจัดการพวกเขาทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ หากข้าอยากทำเช่นนั้น คงไม่ต้องรอให้ท่านลงมือหรอก ตอนนั้นที่เผิงซิ่นพวกนั้นท้าทายท่าน ท่านเองก็อดทนมิใช่หรือ”
หากคิดอยากทำอันใดท่านหมอซือ สำหรับพวกเขาแล้วง่ายเสียยิ่งกว่าการบีบมดให้ตายเสียอีก ทว่าหนานกงมั่วไม่คิดจะทำเยี่ยงนั้น ในเมื่อมาอยู่ในกองทัพก็ต้องทำตามกฎของกองทัพ คงไม่สามารถสังหารทุกคนที่ไม่ถูกตาหรือคนที่เข้ามาท้าทายพวกเขาได้ หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปก็คงไม่มีใครกล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคือง และขณะเดียวกันก็คงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นางเช่นกัน
เว่ยจวินมั่วจ้องมองนางไม่เอ่ยวาจา หนานกงมั่วยิ้ม จูงมือเขาเดินกลับไป “ไปกันเถิด กว่าข้าจะอารมณ์ดี อย่าได้ทำลายอารมณ์ของข้า จริงสิ ท่านไปทรมานคุณชายเหล่านั้นอย่างไร ดูแล้วแต่ละคนราวกับฟ้าผ่ามา”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ส่งพวกเขาเข้ามามิใช่เพื่อฝึกฝนหรอกหรือ ข้าก็ทำตามคำสั่งของขุนพลจู ฝึกฝนพวกเขา”
หนานกงมั่วยักไหล่ เอ่ย “เอาล่ะ ท่านรู้อยู่ในใจเป็นพอ” เว่ยจวินมั่วคงไม่ทำจนคนตายหรอกใช่หรือไม่
“อืม” คุณชายเว่ยพยักหน้า “ข้ารู้อยู่ในใจ”
วันเวลาผ่านไปเงียบสงบราวกับสายน้ำ เหล่าคุณชายที่มาจากโยวโจวยังคงถูกฝึกฝนอย่างหนักภายใต้การฝึกของเว่ยจวินมั่ว สำนักแพทย์นั้นยังคงมีเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เข้ามา นับตั้งแต่สูตรยาของหนานกงมั่วถูกนำมาใช้ในกองทัพ อีกทั้งนำเงินห้าสิบตำลึงมาปรับปรุงสำนักแพทย์ ความสัมพันธ์ในสำนักแพทย์ของหนานกงมั่วก็ดีขึ้นมาก นอกจากท่านหมอซือที่คอยประชดประชันแล้ว คนอื่นๆ นั้นดีกับหนานกงมั่วมาก เหล่าลูกศิษย์อายุน้อยพวกนั้นยังเข้าหาติงเสียวเถี่ย ฟังเขาเอ่ยถึงหลักการแพทย์ที่หนานกงมั่วสอนเขา
ติงเสียวเถี่ยเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง ติดตามหนานกงมั่วเพียงสองเดือนกว่า ความรู้เรื่องสมุนไพรเรื่องสูตรยาล้วนจำได้แม่นยำ หยิบจับสมุนไพรเองก็ไม่เคยพลาด หนานกงมั่วเริ่มสอนเขาจับชีพจร เรียนรู้ได้ไม่ช้า หนานกงมั่วไม่มีแนวคิด ‘ถ่ายทอดวิชาให้หมด ผู้เป็นครูก็ย่อมอดตาย’ เมื่อสั่งสอนนั้นก็ตั้งใจเต็มที่ ทำให้กลุ่มลูกศิษย์เหล่านั้นรู้สึกอิจฉา พวกเขาเป็นลูกศิษย์ อย่างมากก็เพียงเป็นลูกมือให้อาจารย์ หากอยากเรียนรู้ให้สำเร็จออกจากสำนักได้ ไม่มีเวลายี่สิบสามสิบปีนั้นอย่าได้คิดเลย
หนานกงมั่วนั่งอยู่ในห้องปรุงยา เงยหน้าขึ้นไปมองติงเสียวเถี่ยที่พูดคุยจอแจอันใดบางอย่างอยู่กับเหล่าลูกศิษย์เป็นครั้งคราว
“เว่ยฮูหยินอยู่หรือไม่” ด้านนอกมีเสียงของหมอเวินดังขึ้น ติงเสียวเถี่ยรีบลุกขึ้นทำความเคารพ “ท่านหมอเวิน ฮูหยินอยู่ด้านในขอรับ”
แน่นอนว่าหนานกงมั่วเองก็ได้ยินเสียง วางสิ่งที่อยู่ในมือลง ยิ้มพลางเอ่ย “ท่านหมอเวิน เชิญเข้ามาด้านในก่อน”
ท่านหมอเวินเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีท่านหมอเหลียงและหมอหลี่ตามมาด้วย หนานกงมั่วรีบลุกขึ้นพร้อมส่งยิ้มให้ เอ่ย “ไยทั้งสามท่านจึงมาด้วยกันเล่า มีเรื่องอันใดหรือ”
ท่านหมอเวินยิ้ม เอ่ย “เจ้าเด็กเหล่านี้ช่างถูกชะตา” ติงเสียวเถี่ยอายุยังน้อย คนเองก็ฉลาดหลักแหลม ความสัมพันธ์ในสำนักแพทย์ก็ไม่เลว แม้แต่ลูกศิษย์ของท่านหมอซือที่ไม่ถูกชะตากับหนานกงมั่วเองแม้ถูกอาจารย์ข่มขู่ไม่ให้เข้าใกล้เขา ทว่าก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ท่านหมอเหลียงเองก็ยิ้มตาม “เว่ยฮูหยินใจกว้าง หลายวันมานี้เจ้าเด็กเหล่านั้นเรียนรู้ไปหลายอย่าง ดีใจมากยิ่ง” สำหรับสิ่งนี้ไม่มีอันใดที่เขาไม่พอใจ หนานกงมั่วอยากจะสอนลูกศิษย์เยี่ยงไรนั่นเป็นเรื่องของนาง อีกทั้งติงเสียวเถี่ยเองก็ไม่ใจแคบ มีอันใดไม่เข้าใจมาถามเขา เขายังตอบกลับโดยละเอียดและใส่ใจ ความจริงไม่ใช่ว่าพวกเขาที่เป็นอาจารย์ปกปิดความรู้ไม่สอนแก่ลูกศิษย์ เพียงแต่การเป็นหมอช่วยชีวิตคนนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หมอทั่วไปนั้นให้ความสำคัญกับการคัดเลือกลูกศิษย์ แน่นอนว่าไม่สอนง่ายๆ แต่หลักการทั่วไปนั้นยังคงสอนเพียงแต่จะเข้าใจเพียงใดคงต้องอาศัยทักษะการเรียนรู้ของลูกศิษย์และการตั้งใจสอนของอาจารย์ ทั้งสองอย่างนี้ติงเสียวเถี่ยไม่ขาดสิ่งใดไปทั้งนั้น
หนานกงมั่วยิ้ม “เด็กเรียนรู้ได้เร็ว”
มุมปากของท่านหมอทั้งสามยกขึ้น อายุของเว่ยฮูหยินผู้นี้ความจริงก็ไม่ได้มากกว่าด้านนอกนั่นเท่าไรนัก ไม่รู้จริงๆ ว่าไยจึงสามารถสั่งสอนลูกศิษย์ออกมาได้ดีเพียงนั้น
ท่านหมอเวินเอ่ย “ก่อนหน้านี้เว่ยฮูหยินเคยเอ่ยเรื่องรับลูกศิษย์กับข้า ข้าได้นำไปรายงานต่อท่านขุนพลแล้ว แม้จะไม่เหมาะสม เพียงแต่มีคำสั่งจากท่านขุนพล แน่นอนว่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่อันใด เพียงแต่อย่างมากสามารถให้ได้เพียงสิบห้าคน มากกว่านั้น…สำนักแพทย์ก็ไม่มีที่อยู่เพียงพอ”
หมอหนึ่งคนสามารถพาลูกศิษย์เข้ามาอยู่ในกองทัพได้เพียงสี่คน ยามนี้กลับให้หนานกงมั่วตั้งสิบห้าคน ความจริงไม่อาจมากกว่านี้ได้แล้ว
หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “รบกวนท่านหมอเวินแล้ว ไม่รู้ว่าข้อกำหนดที่ข้าเสนอไปท่านหมอได้รายงานต่อท่านขุนพลหรือไม่”
ท่านหมอเวินพยักหน้า เอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว เป็นทหารในกองทัพ อายุมากกว่าสิบหกและน้อยกว่ายี่สิบห้าอย่างนั้นหรือ” สำหรับข้อกำหนดของหนานกงมั่ว ความจริงท่านหมอเวินไม่เข้าใจอยู่บ้าง แน่นอนว่าลูกศิษย์หากพามาจากด้านนอกจะดีเสียกว่า ขอเพียงครอบครัวใสสะอาด ต่อไปออกจากกองทัพแล้วก็ง่ายที่จะพาออกไปด้วย เรื่องอายุยิ่งไม่เข้าใจ การเป็นลูกศิษย์อายุสิบหกนับว่าโตแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นถึงยี่สิบห้าปีเล่า เพียงแต่ท่านหมอเวินไม่สนใจ ในเมื่อหนานกงมั่วเอ่ยเช่นนั้นเขาจึงรายงานต่อท่านขุนพลไปเช่นนั้น ไม่คิดว่าตอนนั้นขุนพลจูจะทำเพียงลูบปลายจมูกและเอ่ยตอบรับ
หนานกงมั่วจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ เอ่ย “ขอบคุณท่านหมอเวินมากเจ้าค่ะ”
ด้านข้าง ท่านหมอหลี่เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “อายุมากไปสักหน่อย ข้าไม่เข้าใจนัก อายุน้อยสอนไม่ดีนัก เพียงแต่…ไยเว่ยฮูหยินต้องกำหนดว่าต้องเป็นคนในกองทัพเล่า” หากได้เรียนรู้ทักษะอย่างหนึ่งจนแตกฉาน ใครเล่าจะอยากอยู่ในกองทัพ ทหารในกองทัพเหล่านั้น ต่อให้พวกเขาเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์แล้ว นอกเสียจากอนาคตแก่แล้วหรือบาดเจ็บไม่อาจลงสนามรบได้แล้ว มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องอยู่ในกองทัพต่อไปตลอดชีวิต