ด้านหลังประตูเมืองก็คือที่ตั้งค่ายของกองทัพ บ้านที่ถูกสร้างด้วยดินและไม้ตั้งเรียงราย เว่ยจวินมั่วที่เป็นผู้บังคับการกองพันที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ บวกกับหนานกงมั่วหมอประจำกองทัพอย่างเป็นทางการ ถูกแยกออกมายังเรือนเล็กๆ ที่ไม่เลวนัก
เป็นเรือนหลังเล็กๆ ทั้งหมดมีเพียงสี่ห้าห้องและลานเล็กๆ แต่อย่างไรก็สามารถแบ่งห้องเพื่อเก็บสมุนไพรของหนานกงมั่วหนึ่งห้องได้ และอีกหนึ่งให้เพื่อเป็นห้องของติงเสียวเถี่ย เพราะเป็นนายทหารผู้ติดตามเว่ยจวินมั่ว เขาจึงไม่ต้องไปเบียดเสียดกับนายทหารคนอื่นๆ อีกแล้ว มีห้องของตนเอง ติงเสียวเถี่ยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
สัมภาระของพวกเขาถูกส่งมาถึงเขตชายแดนในเวลาต่อมา เป็นอีกครั้งที่ต้องมาจัดของวุ่นวาย หนานกงมั่วอดไม่ได้ถอนหายใจอยู่ในใจ ครั้งนี้คงจะอยู่ได้นานสักหน่อย การเลื่อนขั้นจากผู้บังคับการกองร้อยมาเป็นผู้บังคับการกองพันนั้นแตกต่างออกไป
เลื่อนขั้นจากผู้บังคับการกองร้อยมาเป็นผู้บังคับการกองพันอย่างกะทันหัน ผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีเพิ่มขึ้นมากว่าสิบเท่า แน่นอนหนึ่งพันคนในกองทัพไม่นับว่าเป็นจำนวนมาก ทว่าการมีทหารใหม่เพิ่มเข้ามาหลายคนก็ทำให้ชำเลืองมามองได้
หนานกงมั่วยังคงพาติงเสียวเถี่ยเดินผ่านลานฝึกอันกว้างขวาง ด้านหลังพลันมีเสียงเรียกดังขึ้น “เว่ยฮูหยิน เว่ยฮูหยิน”
หนานกงมั่วหันกลับไป แม้ในกองทัพจะมีคนเรียกนางว่าเว่ยฮูหยินอยู่เป็นจำนวนมาก แต่การเรียกที่สนิทสนมเช่นนี้นั้นน้อยนักจะเคยเห็น หันกลับไปพลันมองเห็นคนไม่กี่คนวิ่งโอนซ้ายเอนขวาเข้ามาหา ใบหน้าคุ้นตาดูเหนื่อยล้า เห็นว่านางหยุดเดิน พวกเขาจึงมีท่าทางสดใสขึ้นมา รีบเดินเข้ามาหา หนานกงมั่วมองสำรวจพวกเขาดีๆ หนึ่งรอบ ไม่นานก็จำได้ถึงฐานะของอีกฝ่าย
“คุณชายใหญ่เซวีย ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” ไม่เพียงเซวียปิน คนเหล่านี้ล้วนเป็นตระกูลขุนพลที่เคยเจอที่จวนเยี่ยนอ๋อง หนึ่งในนั้นยังเป็นคนที่เคยชกต่อยกับเซียวเชียนจย่งอีกด้วย เห็นชัดว่าคนที่เฉลียวฉลาดก็ไม่ได้มีเพียงเฉินอวี้ แม้ข่าวสารไม่ว่องไวเห็นคนอื่นส่งบุตรชายมาอยู่ในกองทัพก็ยังส่งเข้ามาร่วมสนุกด้วย
เซวียปินลูบปลายจมูก เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เว่ยฮูหยิน ท่านเองก็มาอยู่ในกองทัพมิใช่หรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า ความจริงก็ไม่ได้ใส่ใจนักว่าพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาทำอันใด อย่างไรสุดท้ายก็ต้องมารับหน้าที่ต่อจากครอบครัวอยู่ดี จำต้องอยู่ในกองทัพทางเดียวเท่านั้น “พวกท่านมีเรื่องอันใดหรือ”
ชายหนุ่มหลายคนมองสบตากัน ยังคงเป็นเซวียปินที่เอ่ยปาก “พวกข้า…ตอนนี้พวกข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้บังคับการกองพันเว่ย”
หนานกงมั่วตื่นตะลึง มองสำรวจท่าทางน่าเวทนาของพวกเขาอีกรอบ เข้าใจแล้วว่าไยพวกเขาจึงได้ดูเหมือนกำลังจะตายเช่นนี้
“พวกท่าน…ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
มีเรื่อง มีเรื่องแล้ว แต่ว่า…พวกเขาไม่กล้าเอ่ยออกมา
ชายหนุ่มรูปร่างสูง ทว่ากลับดูอ่อนโยน เอ่ยขึ้น “เว่ยฮูหยิน พวกข้าอยากถาม…ท่านมียาทาแก้ฟกช้ำหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วฝึกฝนโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นทหารใหม่หรือทหารเก่า วันแรกเข้ามาบรรดาตระกูลขุนพลเหล่านี้ก็ถูกเล่นเสียไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว แม้แต่จะสร้างเรื่องวุ่นวายให้เว่ยจวินมั่วยังไม่มีแรง สองวันมานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะดีขึ้นมาได้ เรียกได้ว่าเป็นแรงเฮือกสุดท้าย สุดท้ายทุกคนจึงคิดว่าคงต้องช่วยเหลือตัวเองไปก่อน รอดีขึ้นแล้วค่อยมาคิดอย่างอื่น
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “พวกท่านตามไปเอากับข้าเถิด”
เฮือก!
ทุกคนรีบก้าวถอยหลังพรวดพราด มองหนานกงมั่วด้วยความหวาดกลัว หนานกงมั่วไม่เข้าใจ “อันใดกัน”
เซวียปินยิ้มเจื่อน เอ่ย “เอ่อ…เว่ยฮูหยิน ท่านช่วย…ไปหยิบมาให้พวกข้าได้หรือไม่” พวกเขาไม่อยากเจอเว่ยจวินมั่วนอกเหนือเวลาฝึกซ้อมเลยสักนิด
หนานกงมั่วยิ้มร่า เอ่ย “พวกท่านกำลังคิดอันใด ข้าหมายถึงให้พวกท่านกลับไปที่สำนักแพทย์กับข้าต่างหาก”
ทุกคนมีสีหน้ายินดีขึ้นมา รีบมุงเข้ามาอีกรอบ เซวียปินเอ่ยอย่างเขินอาย “ขอบคุณท่านมาก ฮูหยิน พวกข้า…พวกข้าจะจ่ายเงินอย่างแน่นอน” อย่างไรตาแก่ที่บ้านก็ยังไม่ได้ใจร้ายใจดำ พวกเขาทุกคนยังพอมีเงินติดตัวมาบ้าง แต่น่าเสียดายก็คือ ที่นี่ไม่ใช่ค่ายเดิมที่หนานกงมั่วอยู่ ที่นี่เป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้เป่ยหยวนมากที่สุด เส้นทางด่านชายแดน ด้านนอกนั่นก็เป็นเขตทุ่งหญ้าของศัตรู ด้านหลังเป็นดินแดนที่ไม่มีที่สิ้นสุด มีเงินก็ไม่มีที่ให้ซื้อของ
หนานกงมั่วเองก็ไม่ปฏิเสธ พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก ในกองทัพมิได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกสบายนัก ฝึกฝนยังต้องใช้ยาทาฟกช้ำ อยากได้นอกเหนือจากนั้น แน่นอนว่าต้องควักเงิน
หนานกงมั่วนับว่าเป็นหมอประจำกองทัพที่มีเวลาว่างที่สุดแล้ว อย่างไรต่อให้ได้ยินมาว่าทักษะการแพทย์ของนางไม่เลวแต่บุรุษสตรีก็ยังแตกต่าง การเจ็บป่วยธรรมดาทั่วไปพวกเขาก็ยังเลือกหมอที่เป็นบุรุษ อีกด้านเกรงว่าคงหนีไม่พ้นการไม่เชื่อใจนาง สำหรับเรื่องนี้หนานกงมั่วเองไม่ใส่ใจนัก นางเพียงช่วยเหลือในยามสงครามก็เพียงพอแล้ว อาการเจ็บป่วยเป็นไข้ทั่วไปมาให้นางรักษานางก็คิดว่ามันน่าเบื่อ เวลาส่วนใหญ่จึงคิดค้นสูตรยาอยู่ในห้องของตนเอง หรือออกไปเดินเล่นที่สนามฝึกซ้อม ผู้ใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่ว โดยเฉพาะคนเก่าๆ นั้นต่างไม่สนใจที่นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ไปเดินเล่นอยู่ที่ลานฝึก อย่างไรเสียฝีมือของหนานกงมั่วพวกเขาต่างก็เคยเห็น บุรุษกี่สิบคนก็ยังสู้สตรีบองบางเพียงคนเดียวไม่ได้ พวกเขาเองแน่นอนว่าไม่มีหน้าไปว่าอันใดได้
เดินเข้ามาในห้องของตนเองที่สำนักแพทย์ ด้านในมีชั้นสมุนไพรที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบหลายชั้น หนานกงมั่วหันกลับไปเอ่ยกับติงเสียวเถี่ย “เอายาที่ข้าปรุงเสร็จเมื่อสองวันก่อนให้พวกเขา”
ติงเสียวเถี่ยพยักหน้า เดินเข้าไปหยิบกล่องหนึ่งออกมาอย่างคล่องแคล่ว ด้านในมีขวดยาเล็กๆ น้อยๆ วางเป็นระเบียบ ติงเสียวเถี่ยหยิบขวดยาออกมาห้าหกขวดวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกนี้คือยาที่เพิ่งทำมาใหม่ ใช้ภายนอก หยิบไปเถิด”
มองยาขวดเล็กๆ เซวียปินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงสัย “นี่…ได้ผลหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “หากเป็นเพียงแผลฟกช้ำที่ได้มาจากการฝึกซ้อมแน่นอนว่าไม่มีปัญหา” ไม่ต้องถามหนานกงมั่วก็รู้ว่าพวกเขาต้องการยาอันใด เพิ่งเข้ามากลับต้องมาถูกโยนไปโยนมาอยู่ในลานฝึกทุกวัน คุณชายเหล่านี้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้นับว่าไม่เลวแล้ว สมแล้วที่เป็นตระกูลขุนพล ต่อไปคงไม่ใช่ลูกผู้ดีเอ้อละเหยลอยชายก่อเรื่องไปวันๆ แล้ว
“ขอบคุณเว่ยฮูหยิน” เซวียปินดีใจ เขาไม่เพียงถูกโยนไปโยนมาทุกวัน หลายวันก่อนเขายังถูกบิดาตีไปหนึ่งรอบยังไม่หายดีเลย ที่สำคัญก็คือเขาสงสัยว่าเว่ยจวินมั่วกำลังมุ่งเป้ามาที่เขา คนอื่นถูกโยนสามครั้ง อย่างน้อยเขาต้องโดนห้าครั้ง “เอ่อ…เท่าใดหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้วด้วยรอยยิ้ม “ขวดละสองตำลึง”
ราคานี้โหดร้ายสักหน่อย แต่ใช้เพียงสมุนไพรที่เหลือจากการจัดเตรียมเอาไว้ก็เท่านั้น ยาแก้ฟกช้ำด้านนอกหนึ่งขวดราคาไม่ถึงครึ่งตำลึงเงินด้วยซ้ำ ทว่าคุณชายเหล่านี้นั้นไม่สน ในกองทัพ หาซื้อได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ควักเงินออกมาโดยง่าย ซ้ำยังรู้สึกขอบคุณต่อหนานกงมั่วอีกด้วย