เว่ยจวินมั่วไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่ยีผมของนางเบาๆ เท่านั้น แววตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก หนานกงมั่วกลอกตามองบนด้วยความฉุนเฉียว จากนั้นจึงดึงมือของเขาที่กำลังยีผมของนางออกพร้อมกับขยับตัวออกห่างจากเขา เว่ยจวินมั่วกลับรู้สึกสนุกมากขึ้นกว่าเดิม เอื้อมมือมาอีกครั้ง หนานกงมั่วก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที นางหมุนตัวกลับไปกอดคอของเขาไว้แน่นพร้อมกับตั้งท่าจะกัดอย่างเต็มที่
“ฮ่าๆ…”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วจึงค่อยได้สติขึ้นมา เห็นว่าตนนั้นกำลังจะทำเรื่องโง่เขลาแค่ไหน จึงทำได้เพียงหยุดชะงักไป เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูงราวกับกำลังถามนางว่า ‘เหตุใดถึงไม่กัดเล่า’
หนานกงมั่วกลอกตามองบนด้วยความจนใจ คอเสื้อของชุดทหารค่อนข้างสั้น หากนางกัดคอเขาจริงๆ พรุ่งนี้เขาก็คงไม่ต้องเจอหน้าใครแล้วกระมัง
เว่ยจวินมั่วหัวเราะเสียงเบาพร้อมกับเอ่ยถาม “ไม่กัดแล้วหรือ หรือว่าจะทำอย่างอื่นดี?” หนานกงมั่วชะงักไปชั่วขณะ ริมฝีปากอันอบอุ่นและอ่อนนุ่มประทับลงบนริมฝีปากนาง จากนั้นก็ค่อยๆ หนักหน่วงและเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพียงชั่วอึดใจความเร่าร้อนของฝ่ายเดียวก็เปลี่ยนเป็นความพัวพันของทั้งสองฝ่ายที่เข้าหากัน หนานกงมั่วเอื้อมมือโอบกอดไหล่ของเขาไว้ ทั้งสองค่อยๆ จมสู่ห้วงแห่งความเสน่หาอันร้อนแรง
เข้าสู่ค่ายทหารเป็นครั้งแรก หากทางฝั่งของหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วจะเกิดเรื่องขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่าได้ถ่อมตนกว่าปกติมากแล้ว คุณชายฉังเฟิงที่อยู่ห่างไกลจากพวกเขาหลายสิบลี้กำลังต่อสู้กับคนนับร้อยด้วยตัวคนเดียว เขาเหยียบคนผู้หนึ่งไว้พลางป่าวประกาศด้วยความทะนงองอาจ “เรื่องแค่นี้ แต่กลับคิดจะมาหาเรื่องข้า ตาของพวกเจ้างอกที่ท้ายทอยหรือเยี่ยงไร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกเรื่องในที่แห่งนี้ต้องฟังข้าคนเดียวเท่านั้น หากข้าสั่งให้ไปทางทิศตะวันออกก็อย่าริอ่านจะไปทางทิศตะวันตก ข้าสั่งให้ไปไล่แมวก็อย่างริอ่านไปเล่นกับสุนัข! เข้าใจหรือไม่”
กลุ่มคนที่ถูกตีจนน่วมจึงรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงโอดครวญ “เข้า…เข้าใจแล้วขอรับ…”
“หึ!” คุณชายฉังเฟิงที่เพิ่งใช้กำลังก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว “ข้ามีนามว่าลิ่นฉังเฟิง ต่อไปภายภาคหน้าก็มากับข้าก็แล้วกัน ติดตามข้ามีเนื้อให้กิน!”
ยังมีอีกหลายที่ที่เกิดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้น มีเรื่องที่น่าแปลกกว่านี้อีกด้วย เช่น จู่ๆ หัวหน้าก็ท้องเสียขึ้นมากะทันหันจนแขนขาไร้เรี่ยวแรงไปหมด กลุ่มคนที่ตกหลุมกับดักจนไม่สามารถปีนออกมาได้ คิดอยากจะไปหาเรื่องแต่ไม่สำเร็จจึงถูกมัดแขนมัดขากลับมาเหมือนหมูไม่มีผิด วันนี้ทหารของกองกำลังโยวโจวได้รับบาดเจ็บมากกว่าในสนามรบตลอดทั้งปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
หลังจากสั่งสอนน้องใหม่ที่ไม่เชื่อฟังเสร็จแล้ว คุณชายฉังเฟิงก็มานอนชมจันทร์บนหลังคาเงียบๆ คนเดียว
“ไม่รู้ว่าเว่ยจวินมั่วกับแม่นางมั่วกำลังทำสิ่งใดอยู่ ไม่มีพวกเขาอยู่ด้วย รู้สึกไม่ชินเลย” คุณชายฉังเฟิงทอดถอนใจออกมาเบาๆ ไม่มีกะจิตกะใจคุยเล่นกับคนอื่นๆ เลย ดังนั้นทุกครั้งที่คุณชายฉังเฟิงมักจะเอ่ยว่าอยากจะไปให้พ้นจากเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วก็เป็นแค่การขู่สองสามีภรรยาเท่านั้น ครั้นต้องห่างจากทั้งสองมาต่อสู้ฝ่าฟันตามลำพังก็ดันรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้อ ช่างเถิด ข้าจะมุ่งหน้าสู้บากบั่นต่อไปก็แล้วกัน ไม่แน่บางทีข้าอาจจะได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าของเจ้าเว่ยจวินมั่วก็ได้” เมื่อนึกถึงตรงนี้คุณชายฉังเฟิงก็แอบหัวเราะด้วยความชอบใจ เวลาจินตนาการถึงฉากที่เว่ยจวินมั่วทำความเคารพเขาก็รู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ ยามนี้จุดเริ่มต้นของทั้งสองเท่ากัน ที่สำคัญคือจูหงไม่ชอบหน้าเว่ยจวินมั่ว ส่วนแม่ทัพเฉินอวี้นั้นให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก ฮ่าๆ…
คุณชายฉังเฟิงที่กำลังแอบดีใจอยู่ในตอนนี้ไม่รู้ว่าอาชีพทหารที่เขาทำอยู่นั้นไม่ได้สบายไปกว่าเว่ยจวินมั่วเลย เพราะคุณสมบัติหัวหน้าของทั้งสองนั้นแตกต่างกัน จูหงคือเสือ ส่วนเฉินอวี้นั้นคือจิ้งจอก
การเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจูหงแค่ต้องมีความเก่งกาจก็เพียงพอแล้ว แต่หากอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเฉินอวี้…จะฉลาดและเก่งกาจหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายก็เป็นแค่ของเล่นของเขาเท่านั้น เพราะแค่ยศใหญ่กว่าหนึ่งขั้นก็สามารถทับคนตายได้แล้ว
เช้าตรู่ มีเสียงแตรสัญญาณดังขึ้น หนานกงมั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงียจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเว่ยจวินมั่วตื่นตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นนางลืมตา เขาจึงเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ทำเจ้าตื่นหรือ”
แตรสัญญาณเสียงดังหนวกหูเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งคนตายก็คงจะหนวกหูจนฟื้นคืนชีพได้เลย เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “เจ้านอนพักต่ออีกสักหน่อยเถิด ข้าจะออกไปข้างนอกก่อน” หนานกงมั่วโบกมือเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ เห็นเว่ยจวินมั่วออกไปแล้ว หนานกงมั่วก็เงยหน้าขึ้นพลางทอดสายตามองไปยังนอกหน้าต่าง ด้านนอกพึ่งจะสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นยังมองเห็นไม่ชัดเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ หนานกงมั่วก็ไม่ได้มีความคิดที่จะนอนต่อแต่อย่างใด ปกตินางเองก็ไม่ได้มีนิสัยนอนเยอะอยู่แล้ว จึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ เพิ่งจะเดินออกไปด้านนอกก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังมาแต่ไกล นั่นคือเสียงฝึกทหารในยามเช้า เยี่ยนอ๋องปกครองทหารด้วยความเคร่งครัด ถึงแม้จะไม่ใช่ช่วงศึกสงคราม ทว่าทหารจะต้องออกทำสวนทำนาทุกวันเหมือนเช่นชาวบ้านทั่วไป และในทุกๆ เช้าจะต้องมีการฝึกทหารโดยห้ามขาดแม้แต่วันเดียว เมื่อถึงยามรุ่งสางฟ้าเริ่มสว่าง หนานกงมั่วก็มักจะคอยยืนดูเหล่าทหารที่กำลังฝึกฝนด้วยความฮึกเหิมอยู่กลางลานกว้างพลางส่ายหน้าเบาๆ หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนานกงมั่วก็อุ่นร่างกายด้วยการทบทวนวรยุทธ์เหมือนเช่นที่ผ่านมา จากนั้นก็กลับเรือนไปเตรียมทำอาหารเช้า
ในค่ายทหาร สิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ต้องทำอาหารเอง ถึงแม้ว่าหลายปีก่อนหน้านี้นางจะทำอาหารทานเองมาโดยตลอด ทว่าหลังจากไปที่จินหลิงแล้ว หนานกงมั่วเข้าครัวนับครั้งได้ ที่สำคัญคือคนค่อนข้างเยอะและนางเองก็ขี้เกียจจะทำ คุณหนูใหญ่หนานกงไม่ได้เข้าครัวมาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นห้องครัวที่ทรุดโทรมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย ถึงแม้ไม่อยากทำก็ต้องทำอยู่ดี หากไปร่วมทานกับเหล่าบรรดาทหาร แน่นอนว่ารสชาติย่อมรับประกันไม่ได้อยู่แล้ว
หนานกงมั่วสลัดความเฉื่อยชาอันไร้ประโยชน์ทิ้งไป จากนั้นก็ตั้งสติเริ่มจัดเตรียมอาหารเช้า อาหารของทางภาคเหนือไม่ได้อุดมสมบูรณ์เช่นเจียงหนานทางตอนใต้ ในค่ายทหารยิ่งแล้วใหญ่ หนานกงมั่วทำแค่โจ๊กเนื้อตากแห้งและขนมแป้งแผ่นเท่านั้น นี่ถือว่าทำให้เว่ยจวินมั่วทานด้วย เพราะถ้าหากนางทานคนเดียวล่ะก็ แค่โจ๊กถ้วยเดียวก็เป็นอันสิ้นเรื่อง
ได้กลิ่นหอมกรุ่นลอยออกมาจากหม้อแล้ว หนานกงมั่วก็พยักหน้าเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ ในชาติก่อนนางต้องเลี้ยงดูพี่ใหญ่และน้องสาว ชาตินี้ก็ดันมาเป็นหญิงสาวที่ต้องเลี้ยงดูท่านอาจารย์ อาจารย์อาและศิษย์พี่รวมสามคน หนานกงมั่วจึงค่อนข้างพอใจกับฝีมือการทำอาหารของตนเองเป็นอย่างมาก
เมื่อหันกลับมาก็เจอเข้ากับเว่ยจวินมั่วที่ไม่รู้กลับมาตั้งแต่ตอนไหน เขากำลังยืนพิงประตูพลางจ้องมองนางอยู่ด้านหลัง หนานกงมั่วตกใจเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองเขา ในใจก็แอบเอ่ยพึมพำ ความตื่นตัวของนางแย่ขนาดนี้แล้วหรือ ตอนเช้าเว่ยจวินมั่วตื่นตั้งแต่ตอนไหนนางไม่รู้ก็ช่างแล้วเถิด ตอนนี้เขามายืนอยู่ด้านหลังนางตั้งแต่เมื่อใด นางก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงจะกลายเป็นหมูจริงๆ แล้ว
ถึงแม้ว่าคุณชายเว่ยจะสวมชุดทหารธรรมดาๆ ทว่าเพราะมีใบหน้าอันงดงาม จึงทำให้ทุกคนมองข้ามเสื้อผ้าของเขาไปโดยปริยาย ดังนั้นเขาจึงยังคงเป็นคุณชายหน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์เช่นเดิม
“ข้าทำเจ้าตกใจหรือ”
หนานกงมั่วสังเกตมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “ตกใจสิ คุณชายเว่ยไปนอนคลุกโคลนที่ไหนมาหรือ” เพิ่งออกไปครู่เดียวเสื้อผ้าก็สกปรกเช่นนี้ ไม่เหลือเค้าเดิมของคุณชายจื่อเซียวที่ไม่ว่าเวลาใดก็วางมาดสุขุมเคร่งขรึมและสะอาดสะอ้านอยู่ตลอดเวลาแม้แต่นิดเดียว
คุณชายเว่ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย “คนพวกนั้นลงมืออย่างไร้เหตุผล ไม่เป็นไร ต่อไปพวกเขาก็คงจะไม่ทำอีก”
นึกถึงสภาพคนที่กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางด้านหลังนั่นแล้ว มุมปากของคุณชายเว่ยก็ผุดยิ้มขึ้นเล็กน้อย เสื้อผ้าที่เลอะเทอะไม่ได้ทำให้เขาโกรธแต่อย่างใด เขาจ้องมองไปยังโจ๊กที่กำลังมีควันฉุยลอยอยู่เหนือหม้อทางด้านหลังหนานกงมั่วอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยจวินมั่วก็ยกมือขึ้นพลางสั่งว่า “ให้หลิ่วหันกับซิงเวยมาหาข้าด่วน!”