หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “คนในกองทัพร่างกายแข็งแรงหน่อย”
เป็นลูกศิษย์ต้องร่างกายแข็งแรงหรือ เอาล่ะ ต้องร่างกายแข็งแรงจริงๆ อย่างน้อยก็คงไม่อาจใช้คนที่ร่างกายอ่อนแอ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายแข็งแรงที่เว่ยฮูหยินต้องการกับร่างกายแข็งแรงในแบบที่พวกเขาหมายถึงจะไม่เหมือนกัน
“เว่ยฮูหยินจะรับลูกศิษย์มากมายเพียงนั้นในครั้งเดียวเลยหรือ” ท่านหมอเหลียงอดไม่ได้เอ่ยถาม สอนสามสี่คนก็ทำให้เขาปวดหัวไม่ไหวแล้ว สอนพร้อมกันครั้งเดียวสิบกว่าคนจะเหนื่อยมากเพียงใดกัน
หนานกงมั่วส่ายศีรษะเอ่ย “ข้าไม่รับลูกศิษย์ พวกเขาเป็นทหารในกองทัพ ข้าจะให้ท่านแม่ทัพย้ายพวกเขามาอยู่ในหน่วยของเว่ยจวินมั่ว”
หมอทั้งสามมองสบตากันด้วยความมึนงง เห็นชัดว่าไม่เข้าใจความคิดของหนานกงมั่วนัก มีเพียงท่านหมอเวินที่ผ่านโลกมาเยอะพอเข้าใจได้บ้าง เอ่ยอย่างลังเล “เว่ยฮูหยินหมายถึง…จะให้พวกเขาลงสนามรบด้วยอย่างนั้นหรือ” หมอประจำกองทัพนั้นไม่ลงสนามรบ ในสนามรบนั้นคมดาบไร้ดวงตา หากไม่ทันระวังหมอประจำกองทัพตายไม่รู้ว่าจะสูญเสียชีวิตของทหารทั่วไปอีกกี่ชีวิต
หนานกงมั่วมองท่านหมอเวินอย่างตกใจ เอ่ย “มีความคิดนี้ แต่ว่าตอนนี้ยังต้องดูไปก่อน” ยุคสมัยนี้ยังไม่มีการไม่สังหารหมอประจำกองทัพ หากต่อสู้เหมือนทหารทั่วไป การหล่อเลี้ยงของนางคงไม่ทันการสูญเสีย ทว่าการต่อสู้ครั้งที่แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าทรัพยากรทางการแพทย์ในกองทัพนั้นมีน้อยเกินไป มีนายทหารไม่น้อยที่ต้องตายเพราะช่วยเหลือเอาไว้ไม่ทัน
“นี่เกรงว่า…” ท่านหมอเหลียงทั้งสองคนลังเลเล็กน้อย
หนานกงมั่วเม้มปากด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองท่านไม่ต้องกังวล นี่เป็นสาเหตุที่ข้าต้องการคนจากกองทัพ แม้จะอยู่ที่สำนักแพทย์ อย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นทหารของกองทัพ” ส่วนอย่างอื่น…แน่นอนว่าแตกต่างจากลูกศิษย์ในสำนักแพทย์ แต่ว่าหากถึงที่สุดจริงๆ หมอไม่ใช่ทหารแล้วอย่างไร หรือว่าศัตรูจะปล่อยเจ้าไปเพราะเหตุผลนี้กันหรือ
ท่านหมอเวินถอนหายใจออกมา เอ่ย “ข้าอายุมากแล้ว ในเมื่อเว่ยฮูหยินมีความคิดนี้จะลองดูก็ไม่เป็นไร เด็กไม่กี่คนในมือของข้านั้น หากพวกเขายินยอมฮูหยินก็ช่วยชี้แนะพวกเขาไปด้วยเถิด” ท่านหมอเวินเอ่ยเช่นนี้ นั่นหมายถึงกำลังสนับสนุนความคิดของหนานกงมั่ว
ท่านหมอทั้งสองเองแน่นอนว่าไม่ยอมล้าหลัง แสดงออกว่าลูกศิษย์ของพวกเขาเองก็ต้องรบกวนเว่ยฮูหยินด้วยเช่นกัน
หนานกงมั่วพยักหน้าขอบคุณ น้อมรับการสนับสนุนจากพวกเขาด้วยใจ ขณะเดียวกันก็บอกว่าอย่างไรเสียลูกศิษย์และทหารทั่วไปนั้นแตกต่างกัน ไม่คิดบีบบังคับ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วพบว่า พวกเขามีเพื่อนร่วมหน่วยเพิ่มขึ้นมา เพียงแต่เพื่อนเหล่านี้ดูเหมือนจะอ่อนแอ นายทหารในกองทัพล้วนแล้วแต่อยู่ในสนามรบ โดยเฉพาะคนทางเหนือที่มีรูปร่างสูงใหญ่ รู้สึกขัดหูขัดตากับพวกผอมบางดูอ่อนแอเหล่านั้น มีความรู้สึกไม่ถูกตาโดยไม่รู้ตัว นายทหารใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วเองก็ไม่แตกต่าง แม้จะทำสงครามมาไม่นาน อีกทั้งดูแล้วเหมือนจะมีสงครามเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จะเสริมทหารเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่า…ไยจึงแบ่งคนอ่อนแอพวกนี้มาให้พวกเขากันเล่า
คนที่ไม่พอใจสำหรับเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทหารทั่วไป ผู้ใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วที่เคยอยู่ในหน่วยกองร้อยมาก่อนก็ยิ่งไม่พอใจ ทหารอ่อนแอนั้นมีผลต่ออนาคตของพวกเขา เอาคนอ่อนแอพวกนี้มาอยู่ในหน่วยของตน…ผู้บังคับการกองพันเว่ยมีที่มาไม่ธรรมดาเหมือนที่ว่ากันไว้จริงๆ หรือ
เว่ยจวินมั่วมองสีหน้าไม่พอใจของหัวหน้ากองธงเหล่านั้นอย่างสงบ เอ่ยเสียงเรียบ “คนเหล่านี้เพียงแขวนชื่อไว้กับพวกเจ้าเท่านั้น พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ต้องกังวล”
“แต่ว่า…” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
“พวกเขาไม่ได้มาแทนที่คนของพวกเจ้า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยต่อ
เอาล่ะ…ดูเหมือนว่าผู้บังคับการกองพันเว่ยจะมีที่มาไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่เอามาแทนที่คนของตนเอง แน่นอนว่าไม่สนใจ เพียงแขวนชื่อเท่านั้น ยังต้องไว้หน้าผู้บังคับบัญชา เพียงแต่… เผิงซิ่นเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ในเมื่อไม่ใช่คนของพวกเรา คนเหล่านี้มาทำอันใดกันเล่า” เพราะความดีความชอบในศึกครั้งที่แล้ว เผิงซิ่นเองก็ได้รับเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับการกองร้อย นับว่าเป็นการเลื่อนขั้นแล้วเล็กน้อย
เว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้นไปมองหนานกงมั่วที่ยกน้ำชาเข้ามา เอ่ย “คนพวกนั้นเป็นคนของอู๋สยา”
หนานกงมั่วเข้ามาได้ยินประโยคนั้นพอดี ยิ้มพลางเอ่ย “ทำให้ทุกท่านต้องวุ่นวายแล้ว ดื่มชาเถิด”
ทุกคนรีบเอ่ยมิกล้า กล่าวขอบคุณหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเดินไปนั่งลงด้านข้างเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “ผู้บังคับการกองร้อยทุกท่านไม่ต้องสนใจพวกเขา เพียงขอแขวนชื่อเอาไว้เท่านั้น เอ่อ…อีกทั้งการฝึกซ้อมในแต่ละวันยังต้องขอพื้นที่สนามฝึกได้หรือไม่”
หลายวันมานี้พวกเขาเองคุ้นชินกับการมองเห็นหนานกงมั่วเมื่อยามต้องพูดคุยหารือ หนานกงมั่วเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่สงครามครั้งที่แล้ว นายทหารเหล่านี้เองก็ไม่กล้าแสดงท่าทีไม่เคารพต่อนาง ยิ่งไปกว่านั้น เห็นชัดว่าหนานกงมั่วเองก็รู้จักวางตัว แม้จะปรากฏตัวที่ห้องหนังสืออยู่บ่อยครั้งแต่เรื่องในกองทัพก็น้อยนักที่จะเข้ามาแทรกแซง
เผิงซิ่นอดไม่ได้เอ่ยถาม “เว่ยฮูหยิน ท่านเอาคนพวกนี้ไปทำอันใดหรือ ดูท่าทางแล้วจะเอาไปทำสงครามก็คงไม่ได้” ที่น่าแปลกที่สุดก็คือแม่ทัพเบื้องบนยังให้การยินยอม พวกเขาคิดว่าหากเบื้องบนไม่อนุญาตสองคนนี้คงไม่กล้าเสริมกำลังทหารเข้ามาเองหรอก นั่นเป็นโทษประหารเลยทีเดียว
หนานกงมั่วยิ้มบาง “เดี๋ยวพวกท่านก็รู้แล้ว จริงสิ…อยากจะเตือนไว้สักนิด ทางที่ดีพวกท่านอย่าทำให้พวกเขาขุ่นเคืองเล่า” ล่วงเกินใครก็ไม่ควรล่วงเกินหมอนะ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอด
หรือว่า…จะเป็นลูกศิษย์จากสำนักมีชื่อเสียงจากที่ใด แต่ก็ดูไม่เหมือนนะ
เว่ยจวินมั่วหันกลับมามองหนานกงมั่ว เอ่ย “อู๋สยาคิดจะฝึกพวกเขาด้วยตนเองหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนไม่กี่คนนั้นอู๋สยาก็เอาไปฝึกช่วยข้าได้หรือไม่”
“หืม” หนานกงมั่วไม่เข้าใจ เว่ยจวินมั่วเอ่ย “พวกเซวียปิน”
คนเหล่านั้นแม้จะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง ทว่าเคยชินกับการถูกเลี้ยงมาอย่างสุขสบายเมื่อต้องมาลำบากในกองทัพจึงยากสักหน่อย เว่ยจวินมั่วเองก็ไม่อาจมาฝึกฝนพวกเขาเป็นพิเศษได้ ส่วนผู้บังคับการกองร้อยเหล่านี้ วิธีการฝึกของพวกเขาเองก็ยังไม่ถึงขั้น
หนานกงมั่วเข้าใจทันที ในเมื่อเฉินอวี้เหล่านั้นส่งพวกเขาเข้ามาอยู่ในกองทัพ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสองอันใดพวกเขาบ้าง ถือว่าเป็นการไว้หน้าท่านแม่ทัพทั้งหลาย แต่หากให้เว่ยจวินมั่วสอนด้วยตนเองก็คงไม่เหมาะ คนเหล่านั้นเองก็คงรับไม่ไหว ไม่ตกใจจนร้องไห้หาบิดามารดาสิจึงจะแปลก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หนานกงมั่วจึงพยักหน้า “ไม่มีปัญหา เพียงแต่…ข้าจะได้อะไรเล่า”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพิ่งค้นพบสถานที่แห่งหนึ่งเหมาะจะเป็นลานฝึกเล็กๆ ให้เจ้า”
“ตกลง” หนานกงมั่วยิ้มเบิกบาน แม้สามารถฝึกฝนเหมือนทหารอื่นทั่วไป แต่ก็ยังยุ่งยาก อีกทั้งคนเหล่านี้คงตามไม่ทัน คงได้เป็นสิ่งน่าคบขันแก่ทหารพวกนั้นแน่
จะว่าไปเรื่องนี้หนานกงมั่วรู้สึกว่าตนเองถูกขุนพลจูกลั่นแกล้งแล้ว แม้เงื่อนไขของนางคือเป็นชายหนุ่มและรู้หนังสือ ทว่าไม่คิดว่าจูหงจะส่งคนที่อ่อนแอที่สุดมาให้ หรือแม้แต่มีความพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งไม่อาจสั่งสอนได้ง่ายๆ ต่างก็โยนมาให้นาง และนางก็ไม่อาจปฏิเสธ เพียงคิดก็รู้แล้วว่าขุนพลจูคงกำลังกลอกตาเอ่ยว่า “เจ้าเคยเห็นคนรู้หนังสือที่ไหนร่างกายแข็งแรงเล่า”