พระชายาเยี่ยนอ๋องพยักหน้าเบาๆ เอ่ย “เรื่องคู่หมั้นของเหว่ยเอ๋อร์กับจย่งเอ๋อร์เพคะ”
เยี่ยนอ๋องได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เอ่ยถาม “ข้าได้ยินมาว่าสองสามวันมานี้เจ้าโกรธเฉินซื่อหรือ” ถึงแม้ว่าเยี่ยนอ๋องจะไม่ยุ่งเรื่องภายในของจวนเยี่ยนอ๋อง ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องในจวนเยี่ยนอ๋องอยู่ดี หากเขาต้องการจะรู้ก็ย่อมสามารถรู้ได้
พระชายาเยี่ยนอ๋องยิ้มพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “โกรธอันใดกัน ข้าแค่ติติงไปไม่กี่คำก็เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกเพคะ” พระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็ไม่อยากจะว่าร้ายลูกสะใภ้ต่อหน้าเยี่ยนอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือเรื่องภายในของจวนจึงไม่ควรให้เรื่องนี้ไปรบกวนเยี่ยนอ๋อง หากลูกสะใภ้แค่คนเดียวก็ยังจัดการไม่ได้ เช่นนั้นตำแหน่งพระชายาเยี่ยนอ๋องก็ไม่ควรเป็นของนางแล้ว เยี่ยนอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มิใช่เรื่องใหญ่เช่นนั้นหรือ งานแต่งงานของเชียนเหว่ยและเชียนจย่งเป็นเรื่องเล็กหรืออย่างไร ความคิดของเฉินซื่อใช่ว่าข้าจะไม่รู้ หากพระบิดาของฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่ เพื่อเห็นแก่หน้าชื่อเอ๋อร์แล้ว เราคงจะปล่อยให้นางทำ ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะปล่อยให้นางมาทำซี้ซั้วตามอำเภอใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
พระชายาเยี่ยนอ๋องจึงรีบเอ่ย “ข้อนี้หม่อมฉันเองก็ทราบดี เดิมทีก็ไม่ควรจะให้นางมาตัดสินใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เรื่องนี้หม่อมฉันตัดสินใจไม่รอบคอบเอง ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะเพคะ”
เยี่ยนอ๋องโบกมือเบาๆ เอ่ย “เจตนาของเจ้าข้าเข้าใจดี บุตรีที่มาจากตระกูลวิชาการก็น่าปวดหัวเช่นนี้ทั้งนั้น”
พระชายาเยี่ยนอ๋องได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา “ท่านอ๋องอย่าตัดสินคนทั้งกลุ่มด้วยคนคนเดียวเชียวนะเพคะ ถึงแม้สะใภ้ชื่อเอ๋อร์จะมีนิสัยที่ทะนงตน แต่ที่ผ่านมานางก็สามารถจัดการดูแลธุระในจวนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยิ่งไปกว่านั้น อู๋สยาและพี่หญิงหยวนเองก็มาจากตระกูลวิชาการด้วย” เยี่ยนอ๋องชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาค่อยๆ อ่อนโยนลงอย่างช้าๆ “อย่างไรเสียเจ้าจะต้องอบรมสั่งสอนนางให้ดี ให้นางอย่าเอาแต่คิดถึงผลพลอยได้ของตนเอง รู้จักทำตัวให้เหมือนกับมั่วเอ๋อร์บ้าง”
พระชายาเยี่ยนอ๋องทอดถอนใจ เอ่ย “นางจะไปเทียบมั่วเอ๋อร์ได้เยี่ยงไร น้องหญิงห้าและจวินมั่ววาสนาดี ส่วนตระกูลของเรา…ก็คงจะต้องค่อยๆ สั่งสอนกันต่อไป หลายวันมานี้หม่อมฉันเองได้ลองคิดคำนวณดูแล้ว อายุของเชียนเหว่ยเหมาะสมกับบุตรีคนโตของตระกูลเซวียเป็นอย่างมาก หม่อมฉันเองก็เคยเห็นหน้าแม่นางผู้นั้นมาก่อน เป็นคนเรียบร้อยและว่านอนสอนง่าย ท่านอ๋องเห็นควรอย่างไรเพคะ”
“ตระกูลเซวียหรือ” เยี่ยนอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ย
พระชายาเยี่ยนอ๋องพยักหน้าเบาๆ พลางตอบ “ท่านอ๋องเห็นว่าไม่เหมาะหรือเพคะ”
เยี่ยนอ๋องส่ายหน้าเบาๆ เอ่ย “ช่างเถิด เช่นนั้นก็เป็นตระกูลเซวียก็แล้วกัน ยังมีเชียนจย่งอีกคน รีบๆ หมั้นให้เรียบร้อย”
“จย่งเอ๋อร์…” เซียวเชียนจย่งพึ่งจะอายุสิบสี่ มิใช่ว่าหมั้นไม่ได้ ทว่าอายุเขายังน้อยจริงๆ
เยี่ยนอ๋องโบกมือพลางเอ่ย “รีบหมั้นหมายให้เสร็จก่อนจะได้สบายใจ ใครจะไปรู้ว่าทางฝั่งจินหลิงจะเล่นลูกไม้ใดอีก”
พระชายาเยี่ยนอ๋องพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเยี่ยนอ๋อง จากนั้นจึงเอ่ย “หม่อมฉันจะสอดส่องดูเพคะ”
เพียงไม่นาน ข่าวลือเรื่องพระชายาเยี่ยนอ๋องจะสู่ขอคุณหนูใหญ่ตระกูลเซวียให้กับเซียวเชียนเหว่ยก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งจวนเยี่ยนอ๋องอย่างรวดเร็ว พระชายาเยี่ยนอ๋องเองเป็นคนที่เด็ดขาดและรวดเร็ว วันถัดมาก็เดินทางไปทาบทามตระกูลเซวียก่อนกำหนดการเสียด้วยซ้ำ หนึ่งคือเรื่องนี้ค่อนข้างเร่งด่วน สองคือต้องการจะยับยั้งความคิดเฉินซื่อ
ตระกูลผู้ดีในเมืองโยวโจวมิได้เป็นตระกูลใหญ่เหมือนเช่นในจินหลิง ทายาทที่เกิดจากภรรยาเอก บุตรของอนุ ตลอดจนถึงสายเลือดใกล้ไกล รวมกันแล้วนับร้อยได้ ยามนี้นายท่านของตระกูลเซวียคือเซวียเจิน คนในตระกูลก็ไม่ซับซ้อน เซวียเจินมีบุตรชายสามคนและบุตรีอีกสองคน เป็นบุตรชายหนึ่งคนและบุตรีสองคนจากภรรยาเอก ส่วนอนุภรรยามีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเพิ่งจะอายุสิบสองปี ส่วนอีกคนก็เพิ่งจะอายุห้าขวบ ผู้ที่พระชายาเยี่ยนอ๋องเลือกคือเซวียอวิ๋นอวิ่นบุตรีคนโตของตระกูลเซวีย ส่วนคนที่มาหาหนานกงมั่วที่จวนเยี่ยนอ๋องครั้งก่อนคือเซวียเสียวเสี่ยวบุตรีคนรองของบ้านสกุลเซวีย
เมื่อได้ยินข่าวคราวเรื่องนี้แล้ว เฉินซื่อย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา อย่างอื่นไม่ว่า แต่ตำแหน่งของเซวียเจินบิดาของเซวียอวิ๋นอวิ่นนั้นสู้ไม่ได้แม้กระทั่งจูหงและเฉินอวี้ที่เคยติดตามเยี่ยนอ๋องในกองทัพเสียด้วยซ้ำ ทว่ากลับได้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพคนสนิทของเยี่ยนอ๋อง กุมอำนาจการทหารมากมาย เมื่อเทียบกันแล้วกลับดีกว่าบิดาของตนที่เป็นถึงเสนาบดีกรมธรรมแต่อยู่ห่างไกลไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ ได้ ต่อไปภายภาคหน้าเมื่อเซวียอวิ๋นอวิ่นเข้าจวนเยี่ยนอ๋องมาแล้ว เกรงว่าตำแหน่งสถานะของนางคงจะสั่นคลอนไม่มั่นคงเป็นแน่แท้
เห็นได้ชัดว่าความไม่พอใจของเฉินซื่อมิได้ส่งผลกระทบต่อพระชายาเยี่ยนอ๋อง ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พระชายาเยี่ยนอ๋องยังรับบุตรีในอนุของพลทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเยี่ยนอ๋องมาเป็นอนุภรรยาของเซียวเชียนชื่ออีกด้วย ยามนั้นเฉินซื่อตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดอันใดแม้แต่คำเดียว ตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนเยี่ยนอ๋องมาสองปีกว่า ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์เลยแม้แต่น้อย ยามนี้บุตรชายคนเดียวของเซียวเชียนชื่อก็ถูกให้กำเนิดโดยอานซื่อที่เป็นบุตรีในอนุ หากอนุภรรยาที่จะเข้ามาใหม่ผู้นี้เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาอีกคนละก็…
ที่จริงพระชายาเยี่ยนอ๋องก็ถือว่าไว้หน้านางแล้ว ถึงได้รับบุตรีในอนุของพลทหารชั้นผู้น้อยมาเป็นอนุภรรยาให้กับเซียวเชียนชื่อ หากพระชายาเยี่ยนอ๋องใจร้ายใจดำรับบุตรีในภรรยาเอกมาเป็นอนุให้เซียวเชียนชื่อ เกรงว่าภายภาคหน้าเฉินซื่อคงจะใช้ชีวิตลำบากเป็นแน่ การที่พระชายาเยี่ยนอ๋องทำเช่นนี้ แค่ต้องการจะสั่งสอนเฉินซื่อเท่านั้น หวังเพียงว่าลูกสะใภ้ผู้นี้จะรู้และเข้าใจถึงสถานการณ์ให้มากกว่านี้เท่านั้นเอง
หนานกงมั่วและครอบครัวทั้งสามคนย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนสวนชิงมั่วหยวนตั้งนานแล้ว จึงไม่ค่อยทราบข่าวข่าวเกี่ยวกับจวนเยี่ยนอ๋องเท่าไหร่นัก แต่ในขณะที่กำลังพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงฉังผิงและพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่นั้น หนานกงมั่วก็ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเฉินซื่อนั้นซีดเซียวกว่าเดิมไปมาก อีกทั้งยังมีหญิงสาวที่ไม่คุ้นหน้ามาก่อนคอยติดตามอยู่ข้างกายนางด้วย จึงเพิ่งรู้ว่าจวนเยี่ยนอ๋องเกิดเรื่องอะไรขึ้น หนานกงมั่วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ รู้สึกโชคดีเป็นอย่างมากที่องค์หญิงฉังผิงไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องของตนกับเว่ยจวินมั่วเลย และไม่เคยที่จะยัดเหยียดคนอื่นเข้ามาในเรือนของนางเหมือนเช่นที่มารดาคนอื่นๆ ทำกัน มิเช่นนั้นนางก็คงจะใช้ชีวิตยากลำบากเป็นแน่แท้
ขณะที่องค์หญิงฉังผิงและพระชายาเยี่ยนอ๋องกำลังพูดคุยกันอยู่ หนานกงมั่วก็ถูกเฉินซื่อเชิญไปดื่มน้ำชาที่โถงด้านข้าง หนานกงมั่วเดาได้ว่าเฉินซื่อมีเรื่องจะเอ่ยกับตน ถึงแม้ไม่อยากคุยด้วยนัก ทว่าก็จะทำเฉินซื่อเสียหน้าไม่ได้ จึงทำได้เพียงขอตัวลากับพระชายาเยี่ยนอ๋องแล้วเดินตามเฉินซื่อไป
เมื่อนั่งดื่มน้ำชาอยู่ในโถงด้านข้างแล้ว หนานกงมั่วก็พินิจมองไปยังเด็กสาวที่ยืนอยู่หลังเฉินซื่อด้วยความแปลกใจ หญิงสาวอายุราวสิบห้าสิบหกเห็นจะได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอายของเด็กสาวแรกรุ่น หน้าตาไม่ได้โดดเด่นเท่าใดนัก ใบหน้ากลมมน รูปร่างค่อนข้างอวบอิ่ม ลักษณะท่าทางเป็นไปตามแบบฉบับที่ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนชอบกัน
เฉินซื่อเหลือบมองเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า “ตรงนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติ ถอยออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะ พระชายาซื่อจื่อ” สาวน้อยย่อตัวขานรับอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างช้าๆ
หนานกงมั่วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าสุขุม รอเฉินซื่อเอ่ยปาก เฉินซื่อจ้องมองหนานกงมั่วอยู่นานสองนาน ในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกอิจฉาพี่สะใภ้เสียจริง”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้น “หมายความว่าอย่างไร น้องสะใภ้เป็นถึงพระชายาซื่อจื่อแห่งจวนเยี่ยนอ๋อง ตำแหน่งที่เหล่าบรรดาสตรีในเมืองโยวโจวต่างก็รู้สึกอิจฉาไปตามๆ กัน”
เฉินซื่อยิ้มเจื่อนพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับขอบตา “ข้าก็เพียงแค่ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นก็เท่านั้น จะสู้พี่สะใภ้ได้เยี่ยงไร…”
“น้องสะใภ้ ระวังคำพูดเจ้าด้วย” หนานกงมั่ววางถ้วยน้ำชาลงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉินซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง เพียงชั่วอึดใจนางก็ยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้วางใจเถิด ข้าพูดกับท่านคนเดียวเท่านั้น”
“…” สิ่งใดทำให้นางรู้สึกว่าข้าดูเป็นพี่สาวที่รู้ใจหรือ
เฉินซื่อถอนหายใจออกมาเบาๆ “พี่จวินมั่วรักมั่นต่อท่านเพียงผู้เดียว เสด็จอาก็ไม่เคยมาก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวของพี่สะใภ้ ได้ยินมาว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ คุณชายเว่ยไม่เคยมีนางข้างห้องเลยแม้แต่คนเดียว แค่ไม่กี่สิ่งนี้ก็ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกอิจฉาพี่สะใภ้เป็นอย่างมากแล้ว”
หนานกงมั่วนิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด วาจาที่เฉินซื่อเอ่ยออกมานั้น หากผู้อื่นได้ยินเข้าจะคิดว่านางไม่ชอบใจที่พระชายาเยี่ยนอ๋องยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องภายในครอบครัวของเซียวเชียนชื่อเอาได้ แน่นอนว่านางมีเจตนาเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่มีลูกสะใภ้คนใดชอบให้แม่สามีเข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายเรื่องสามีของตนหรอก ยิ่งเรื่องรับอนุภรรยาก็ยิ่งแล้วใหญ่ น่าเสียดาย ยุคสมัยนี้…ก็เป็นเสียเช่นนี้ การหาอนุภรรยามาให้บุตรชายของตนถือเป็นหน้าที่อันชอบธรรมของมารดา ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเอ่ยอย่างเต็มปากได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิด หนานกงมั่วก็เลยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมากที่องค์หญิงฉังผิงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงรักและกตัญญูต่อองค์หญิงฉังผิงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม