คนเหล่านั้นเป็นคนเล่าเรียนอย่างนั้นหรือ คนเล่าเรียนจะเข้ามาอยู่ในกองทัพหรือ เพียงรู้จักอักษรไม่กี่ตัวก็เท่านั้น หรือไม่ก็เป็นคนที่ถูกบีบเข้ามาอยู่ในกองทัพ ที่นี่ของนางคงเรียกได้ว่า ‘สถานที่รับทิ้งขยะของกองทัพ’ ก็ว่าได้
ผู้ใต้บังคับบัญชามองสองสามีภรรยาด้วยสายตาแปลกประหลาด พวกเขาเคยเจอผู้คนมามาก แต่ยังไม่เคยเห็นใครแปลกเท่าสองสามีภรรยาคู่นี่อีกแล้ว
รุ่งเช้าเหล่าเซวียปินกำลังเตรียมตัวไปยังลานฝึกดังเช่นทุกวัน นอนหลับไปทั้งคืนยังไม่เพียงพอให้ความเหนื่อยสลายหายไปได้ ขยับเหยียดหัวไหล่ที่ปวดร้าว วิ่งออกไปด้วยใบหน้าที่อยากจะร้องไห้ ชีวิตประจำวันของนายทหารชั้นล่างล้วนต้องลำบากเช่นนี้ทุกวัน ดังนั้นตระกูลขุนพลทั่วไปต่างไม่เริ่มต้นจากการเป็นทหารชั้นผู้น้อย อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับผู้บังคับการกองพันขึ้นไป ฐานะอย่างเว่ยจวินมั่วแต่กลับมาแฝงตัวอยู่กับผู้บังคับการกองร้อยนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลก แน่นอน และความแปลกใหม่นี้ไม่เพียงมีความสามารถ ยังโชคดีอีกด้วย รวมแล้วนับว่าไม่ได้รับความลำบากอันใดมากนัก
“พวกเจ้า หยุดก่อน” เพิ่งเดินออกจากประตูมา เสียงคุ้นเคยพลันดังมาจากด้านหลัง คุณชายทั้งหลายจึงหยุดเท้า หันกลับมามองหัวหน้ากองธง “หัวหน้ากองธง มีเรื่องอันใดหรือ” พวกเขามีปัญหาอันใดอย่างนั้นหรือ ไม่มีนี่นา
หัวหน้ากองธงหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากหน้าอก ยัดไปให้พวกเขาคนล่ะหนึ่งแผ่น เอ่ย “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้อนไปพวกเจ้าไม่ต้องฝึกแล้ว ไปตามแผนที่ในกระดาษแผ่นนี้ จำเอาไว้ หนึ่งเค่อยังไม่ถึง…รับผลที่ตามมาด้วยตนเอง”
เว่ยจวินมั่วคิดจะเล่นอันใดอีก หรือว่าคิดวิธีทรมานพวกเขาในรูปแบบใหม่อย่างนั้นหรือ ทุกคนมองสบตากัน ก้มลงไปมองกระดาบหยาบกระด้างในมือของตนเอง
“นี่…มันคือสิ่งใดกัน” เซวียปินสั่นกระดาษในมือถาม ดูไม่ออกเลยว่านี่คือสิ่งใด
ด้านข้างมีคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก “นี่…คงจะเป็นภูเขาสักลูกใช่หรือไม่”
“นี่คือแม่น้ำหนึ่งสายอย่างนั้นหรือ”
“ข้านึกว่าเป็นตัวหนอนเสียอีก”
“หาได้ยากที่เจ้าจะมองว่ามันเป็นตัวหนอน”
“นี่คือต้นไม้”
“อันนี้…” ในขณะที่ทุกคนพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา ในที่สุดจึงมีคนกระแอมไอขึ้นอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “อย่าลืมเล่า พวกเรามีเวลาเพียงหนึ่งเค่อ”
เงียบไปชั่วครู่ ทุกคนมองสบตาสหายของตน จากนั้นวิ่งออกไปยังภูเขาลูกที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดโดยพร้อมเพรียงกัน
หนานกงมั่วนั่งอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งเงยหน้ามองฟ้า สถานที่ที่เว่ยจวินมั่วค้นพบนับว่าไม่เลว ห่างจากค่ายไม่ไกล สามด้านล้อมไปด้วยภูเขามีทางเข้าเพียงทางเดียว พื้นที่ไม่ใหญ่มากแต่สำหรับพวกเขามันเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้ายิงธนูหรือทักษะหมัดมวยอาวุธต่างๆ ล้วนเพียงพอ ที่สำคัญก็คือทิวทัศน์ยังไม่เลวอีกด้วย
ด้านล่าง ติงเสียวเถี่ยมองคนที่อยู่บนต้นไม้อย่างหวาดเสียว แม้รู้ว่าฮูหยินมีวิชาตัวเบา แต่การนั่งอยู่บนกิ่งไม้แห้งตายอยู่บนหน้าผาเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดเสียวขึ้นมา
“ฮูหยิน พวกเขามาแล้วขอรับ”
หนานกงมั่วเงยหน้ามองออกไปยังทางเข้า มาแล้วจริงด้วย กลุ่มคนวิ่งมาท่าทางกระหืดกระหอบ สองสามคนสุดท้ายนั่นล้มลุกคลุกคลานเข้ามา
เซวียปินที่พุ่งเข้ามาเป็นคนแรกชะงัก “เว่ยจวินมั่วเล่า” เดิมทีคิดว่าเว่ยจวินมั่วมีวิธีใหม่มาทรมานพวกเขา แต่คนเล่า หรือว่ากำลังแกล้งพวกเขาเล่น จากนั้นหันไปมองติงเสียวเถี่ยที่ยืนอยู่ด้านใน จึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ผู้บังคับการกองพันเว่ยเล่า”
ติงเสียวเถี่ยยิ้มขมขื่นส่ายศีรษะ “ผู้บังคับการกองพันเว่ยหรือ ผู้บังคับการกองพันเว่ยไม่ได้มานะ”
ติงเสียวเถี่ยส่ายศีรษะ ชี้ไปยังเหนือศีรษะ เอ่ย “ผู้บังคับการกองพันเว่ยไม่ได้มา แต่ว่า…ฮูหยินมา”
ทุกคนจึงพบว่า บนกิ่งไม้เหนือขึ้นไปบนศีรษะของพวกเขานั้นมีคนหนึ่งคนกำลังนั่งอยู่
“เว่ย…เว่ยฮูหยิน” เซวียปินเอ่ยเรียกอย่างตื่นตระหนก รีบก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขาแสดงออกมาว่าเขาไม่ได้อยากเจอเว่ยฮูหยินเลยสักนิด แม้คนผู้นี้จะมีรูปลักษณ์งดงามราวกับบุปผา แต่แรงหึงของผู้บังคับการกองพันเว่ยนั้น เขาไม่แปลกใจเลยหากเขาฆ่าใครตายเพียงเพราะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเว่ยฮูหยิน
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “พวกเจ้ามาสายแล้ว”
“…” นี่เป็นความผิดของพวกข้าหรือ ภาพวาดห่วยๆ นั่นดูไม่ออกด้วยซ้ำ พวกเขาเริ่มรู้สึกสงสารต่อทักษะการวาดรูปของคนที่วาดรูปแผ่นนั้นออกมา
หนานกงมั่วพลิกตัวลงมา ลอยตัวลงมาจากบนต้นไม้ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
นายทหารคนอื่นๆ ที่ถูกเรียกตัวมาไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด เซวียปินเหล่านี้อย่างน้อยก็คุ้นเคยกับหนานกงมั่ว แน่นอนว่าไม่ได้สนใจ ก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว เอ่ยถาม “เว่ยฮูหยิน…ไยท่านจึงมาอยู่ที่นี่” หนานกงมั่วหันกลับไปมองสำรวจเขา เอ่ย “เป็นข้าที่เรียกพวกเจ้ามาที่นี่ แน่นอนว่าข้าต้องมาอยู่ที่นี่”
“ท่านหรือ ทำไมเล่า”
หนานกงมั่วชี้ไปยังคนด้านหลังพวกเขา “เห็นหรือไม่ พวกเขาล้วนเป็นคนใหม่โดยมีข้าเป็นผู้ฝึกฝน ผู้บังคับการเว่ยของพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าไม่ได้ต่างกับพวกเขานัก ดังนั้นจึงให้มาฝึกด้วยกัน”
นี่เป็นการให้ร้ายอย่างแน่นอน
คุณชายทั้งหลายกวาดตามองคนที่ดูอ่อนแอด้านหลัง ดวงตาเผยความไม่พอใจออกมา อย่างไรพวกเขาก็เป็นตระกูลขุนพล อย่างน้อยก็เคยฝึกฝนมาบ้าง ร่างกายองอาจกำยำ รูปร่างสูงใหญ่ จะไม่ต่างกับคนอ่อนแอพวกนั้นได้เยี่ยงไร
“เว่ย…เว่ยฮูหยิน ไยจึงเป็นท่านที่มาฝึกพวกข้า” มีคนเอ่ยถาม
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “เพราะหากผู้บังคับการเว่ยมาฝึกพวกเจ้าด้วยตนเองพวกเจ้าจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาสักหน่อย แน่นอน ในกลุ่มพวกเจ้าหากมีใครเอาชนะข้าได้ก็ไม่ต้องฝึก”
คนที่อยู่ตรงนั้น ต่อให้อ่อนแออย่างไรก็เป็นบุรุษ บุรุษนั้นไม่อาจยอมให้ใครมาหยามได้ หากเป็นเพื่อนร่วมกองทัพมาดูถูกก็ช่างเถิด ถูกสตรีคนหนึ่งมาดูถูกพวกเขารับไม่ได้ ดังนั้นหลายคนจึงอยากลอง ทว่าคุณชายเหล่านั้นกลับก้าวถอยหลัง ปล่อยให้เหล่าคนกล้าด้านหลังขึ้นมา แม้จะมีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยากลองดี แต่ก็ถูกเพื่อนใจดีดึงกลับคืน
หนานกงมั่วกวาดตามองเหล่าชายหนุ่มตรงหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกันหรือไม่”
“เช่นนั้นได้เยี่ยงไร บุรุษจะรุมรังแกได้เยี่ยงไร” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดัง ผู้คนด้านข้างกลับแสดงท่าทีเห็นด้วย มุมปากของหนานกงมั่วกระตุกยิ้มเย็น พยักหน้าเอ่ย “ถือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว”
“เว่ยฮูหยิน เชิญ”
ลมเย็นพาดผ่าน คนที่เอ่ยเพียงทันมองเห็นสีฟ้าอ่อนผ่านร่างเขาไป ยังไม่ทันได้สติใบหน้าก็ถูกหมัดซัดเข้าเต็มๆ ล้มลงไปกองกับพื้น
คนอื่นๆ ด้านข้างต่างพากันตกตะลึง เมื่อได้สติคิดจะพุ่งเข้าไป ทว่าถูกหนานกงมั่วตวัดมือตบเข้าให้จนต้องก้าวถอยไปหลายก้าว เพียงชั่วพริบตาชายหนุ่มทั้งหลายก็ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นไม่อาจลุกขึ้นมาได้ หนานกงมั่วยืนอยู่ในลานฝึก ก้มศีรษะลงไปมองพวกเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้พวกเจ้ารู้หรือยังว่าสนามรบไม่ใช่สถานที่ที่จะมาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ”