ดังนั้น เชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงของเป่ยหยวนจึงยึดการกลับไปยังที่ราบภาคกลางนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต น่าเสียดาย สิ่งที่กีดขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขากลับเป็นภูเขาสูงใหญ่สองลูกที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้… กองกำลังทหารเหล็กโยวโจวและกองกำลังไท่หนิงแห่งสีโจว กองทัพไท่หนิงของหนิงอ๋องอายุยังน้อยรับมือได้ง่ายกว่า ทว่าภูมิศาสตร์ซับซ้อนอันตราย อยากไปทางนั้นคงต้องเตรียมสูญเสียชีวิตไปกว่าครึ่งก่อนจะได้เผชิญหน้ากับกองทัพอาชาเหล็กของไท่หนิงอ๋อง ฝั่งโยวโจวนั้นนับว่าเป็นพื้นที่ราบควบม้าวิ่งได้ ทว่าเยี่ยนอ๋องไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน กองทัพแข็งแกร่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาแข็งแกร่งดุจเมฆาไม่พอ เยี่ยนอ๋องเองยังทำสงครามเป็นงานอดิเรกอีกด้วย พวกเขาไม่มาหาเรื่อง เยี่ยนอ๋องก็ไปหาเรื่องพวกเขาอยู่ร่ำไป
เดิมทีฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้น้อยมากที่ต่างฝ่ายจะหาเรื่องกัน แม้ว่าครั้งนี้ฮ่องเต้เป่ยหยวนจะส่งกองทัพมาบุกจะไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก แต่ว่าเขาก็ถูกบีบจนไร้หนทางแล้ว ฤดูหนาวที่เลวร้ายผ่านไป พวกเขาแทบจะหิวตายกันอยู่แล้ว ไม่คิดว่าเพียงทำศึกครั้งเดียวส่งผู้นำทัพไปสองคนทว่าไม่ได้กลับมาแม้เพียงคนเดียว ฮ่องเต้เป่ยหยวนกรุ่นโกรธขึ้นมา ส่งกองกำลังไปยังประตูเมืองฝั่งที่แม่ทัพทั้งสองตาย อีกด้านยังส่งคนไปก่อกวนเขตชายแดนอื่นๆ อย่างน้อยก็ต้องแย่งอาหารกลับคืนมา กลยุทธไร้ยางอายเช่นนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับอาณาจักรเซี่ย มีเพียงการเป็นโจรพันวัน ไม่มีการป้องกันพันวัน เขตชายแดนยาวเพียงนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะวางกำลังทหารหนาแน่นทั่วทุกจุด ใครจะรู้ว่าเป่ยหยวนจะเข้าไปปล้นอาหารแล้วหนีไป
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความโกรธ ดังนั้นสนามรบจึงดุเดือด พวกเซวียปินล้วนเป็นทหารใหม่ ก่อนหน้านี้หลายครั้งเว่ยจวินมั่วยังไม่ให้พวกเขาออกรบ แต่สงครามนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้พวกเขาฝึกฝนจนแข็งแกร่งแล้วจึงให้ออกรบได้ ต่อให้เว่ยจวินมั่วยอม แม่ทัพอื่นๆ ก็คงไม่เห็นด้วย
เพียงแต่ตามที่เซวียปินเฝ้าสังเกต เว่ยจวินมั่วไม่ให้พวกเขาออกรบไม่ใช่ต้องการปกป้องพวกเขา อย่างน้อยคงรู้สึกว่าพวกเขาขวางหูขวางตาก็เท่านั้น
ค่ายอยู่ห่างจากสนามรบไม่มาก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อทุกคนก็มาถึง ในสนามรบนั้นเริ่มต่อสู้กันไปก่อนแล้ว คนของหนานกงมั่วเองก็กระตือรือล้นอยากลอง หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้ห้ามพวกเขา เอ่ยสั่งเสียงเรียบ “ไปเถิด” ทุกคนวิ่งลงไปในสนามรบโดยมีเหล่าคุณชายทั้งหลายนำออกไป
หนานกงมั่วขึ้นมาอยู่บนป้อมปราการประตูเมือง นายทหารชั้นสูงผู้เฝ้าดูสถานการณ์สงครามมีท่าทีเกรงอกเกรงใจนาง อย่างไรคนผู้นี้ก็ไม่เพียงมีวรยุทธ์สูงส่ง การยิงธนูยอดเยี่ยม อีกทั้งยังสามารถคิดค้นสูตรยาออกมาใช้ในกองทัพได้อีกด้วย ไม่รู้สามารถช่วยชีวิตทหารไปได้มากเพียงใด และตำแหน่งอย่างพวกเขาเองยังมีข่าวหลุดลอดออกมาบ้าง แน่นอนรู้ว่าหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วสองสามีภรรยาคงมีที่มาไม่ธรรมดา มาอยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาเพื่อฝึกฝนก็เท่านั้น เกรงว่าอีกไม่นานคงเป็นพวกเขาเองที่ต้องทำความเคารพ
“เว่ยฮูหยินก็มาแล้วหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มองไปยังสนามรบที่กำลังโกลาหลก็มองเห็นร่างที่คุ้นเคยในทันที
“ผู้บังคับการกองพันเว่ยฝีมือโดดเด่น วันใดวันหนึ่งคงได้เป็นขุนพลที่ร้ายกาจของเยี่ยนอ๋อง” นายทหารชั้นสูงผู้นั้นแน่นอนรู้ว่านางกำลังมองอันใดอยู่ เอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยรอยยิ้ม หนานกงมั่วยิ้มหวาน “ขอบคุณท่านขุนพลที่ชื่นชม วันนี้…ดูเหมือนจะมีคนมาไม่น้อยเลยใช่หรือไม่” ก่อนหน้านี้พลทหารของเป่ยหยวนมาเพียงไม่กี่ร้อยกี่พันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียกทหารจากค่าย วันนี้ดูเหมือนจะมีจำนวนไม่ต่างจากวันแรกที่พวกเขามานัก
นายทหารชั้นสูงยิ้มพลางเอ่ย “คงเป็นเพราะฮ่องเต้เป่ยหยวนส่งแม่ทัพผู้ใดมากระมัง พวกเขาถูกตัดหัวที่นี่ ไม่เอาคืนก็คงยอมไม่ได้” มองเห็นดวงตาประหลาดใจของหนานกงมั่ว นายทหารชั้นสูงจึงเอ่ย “พวกเราต่อสู้กับชาวเป่ยหยวนมายี่สิบกว่าปี พวกเขาคิดเยี่ยงไรก็พอคาดเดาได้อยู่บ้าง”
หนานกงมั่วเอ่ย “ไยราชสำนักจึงไม่รวมกองกำลังเพื่อถล่มรังเป่ยหยวนเล่า”
นายทหารชั้นสูงถอนหายใจออกมา เอ่ย “หากอยู่เขตภายในแน่นอนว่าเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่ออยู่นอกกำแพงแล้ว ชาวเป่ยหยวนพวกนั้นสู้ไม่ได้ก็หนีไปทั่วทุกทิศ ม้าและการขี่ม้าของอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่เราสู้พวกเขาไม่ได้ คิดจะตามพวกเขาให้ทันไม่ใช่เรื่องง่าย ซ้ำยังอาจหลงในเขตทุ่งหญ้าได้อีกด้วย”
หนานกงมั่วพยักหน้า ความจริงเรื่องเหล่านี้ใช่ว่านางจะคิดไม่ได้ นอกจากนี้สิ่งที่นายทหารไม่ได้เอ่ยถึงนางเองก็พอคาดเดาได้ ราชสำนักเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนต่อการทำลายรังเป่ยหยวนนัก อย่างไรในสายตาของชาวที่ราบภาคกลางนั้นพื้นที่นอกกำแพงก็เป็นพื้นที่ทุรกันดาร ต่อให้ตีมาได้ก็ไม่คุ้ม อีกทั้งหากยึดเป่ยหยวน แน่นอนว่าต้องนำโดยกองทัพโยวโจวและกองทัพไท่หนิง ราชสำนักก็คงไม่ต้องการให้ผู้ปกครองเมืองที่มีอำนาจทั้งสองต้องมีอำนาจจนมาบดบังพวกเขา เป่ยหยวนและผู้ปกครองเมืองนั้นถูกตรึงเอาไว้ด้วยกัน อีกทั้งสำหรับเยี่ยนอ๋องและหนิงอ๋องแล้ว การมีอยู่ของเป่ยหยวนก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขา มีอำนาจของเป่ยหยวนคอยข่มขู่ ราชสำนักก็ไม่อาจโค่นล้มผู้ปกครองเมืองได้ง่ายๆ
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน” หนานกงมั่วมองข้ามผู้คนไปยังผู้นำทัพหลายคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าอยู่ด้านหลังกองทัพเป่ยหยวนไกลออกไป แต่สายตาของหนานกงมั่วกลับไม่ได้มองไปยังเหล่าทหารที่อยู่ในชุดเกราะท่าทางองอาจพวกนั้น ทว่าเป็นคนที่อยู่ด้านหลังสุดผู้นั้น ชายในชุดสีดำรูปร่างผอมนั่งอยู่บนหลังม้า ด้านหลังของเขายังมีชุดคลุมสีดำคลุมเอาไว้ หมวกใหญ่ปกคลุมใบหน้าของเขาไปกว่าครึ่ง เหลือไว้เพียงปลายคางเท่านั้น
ได้ยินดังนั้น นายทหารด้านข้างจึงมองไปยังที่ไกลออกไป ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงขมวดคิ้วส่ายศีรษะ “ไม่รู้จัก…หลายปีมานี้ ไม่เคยเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวในกองทัพเป่ยหยวนมาก่อน บางทีอาจเป็นคนมาใหม่อย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “คนผู้นี้ไม่เหมือนแม่ทัพในกองทัพ และไม่เหมือนคนเป่ยหยวน” ในสนามรบชาวเป่ยหยวนไม่เคยสวมชุดคลุมสีดำเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นทหารทั่วไปหรือนายทหารชั้นสูง
ความสงสัยปรากฏบนใบหน้าของนายทหารชั้นสูง “ฮูหยินสงสัยว่าเขาเป็นคนของอาณาจักรเซี่ยหรือ” หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “ไม่อาจบอกได้แน่ชัด แต่ว่า…อย่างน้อยคนผู้นี้มิได้เติบโตในเป่ยหยวน”
มองดูอย่างละเอียดอีกรอบ นายทหารชั้นสูงจึงพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหนานกงมั่ว สำหรับชาวเป่ยหยวน แน่นอนว่าเขารู้จักดีกว่าหนานกงมั่ว “คนผู้นี้ดูแล้วไม่เหมือนขุนพลที่ห้าวหาญแต่อย่างใด มาปรากฏตัวอยู่ในสนามรบเกรงว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
หนานกงมั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ถอนหายใจออกมา “แผนเดิมเช่นครั้งที่แล้วคงใช้ไม่ได้อีกแล้ว”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” นายทหารหัวเราะออกมา เอ่ย “ครั้งที่แล้วผู้นำทัพของเป่ยหยวนถูกตัดหัวในสนามรบ ครั้งนี้พวกเขาจะไม่ป้องกันได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “ไม่ใช่ รอบตัวคนเหล่านี้มียอดฝีมือคอยคุ้มกัน ท่านดูไม่กี่คนนั่น…น่าจะเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์” หนานกงมั่วชี้ไปยังไม่กี่คนในกลุ่มนั้น ล้วนนั่งอยู่บนหลังม้า อยู่ในชุดของเป่ยหยวน ดูแล้วไม่มีอะไรพิเศษ เมื่อมองให้ดีจะพบว่าตำแหน่งที่พวกเขาอยู่นั้นคือล้อมรอบแม่ทัพและชายในชุดคลุมสีดำผู้นั้นเอาไว้ ไม่ว่าใครคิดอยากลอบสังหาร อย่างน้อยต้องผ่านด่านยอดฝีมือทั้งสามนั้นไปเสียก่อน
หากเป็นเวลาปกติ กระบวนการทัพเช่นนี้ไม่อาจขัดขวางหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วได้ แต่เมื่ออยู่ในสนามรบ อุปสรรคก็คือลูกธนูนับหมื่นที่พร้อมจะแทงทะลุหัวใจ หนานกงมั่วไม่สนใจเดิมพันว่าอีกฝ่ายจะส่งผู้พิทักษ์แม่ทัพพวกนั้นมาเอาชีวิตพวกเขาหรือไม่
นายทหารพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด อย่างไรพวกเขาก็ไม่คิดจะให้คนไปลอบสังหารแม่ทัพของอีกฝ่ายอีกครั้งอยู่แล้ว ก่อนท่านอ๋องกลับไปได้เรียกเขาเข้าพบเป็นการส่วนตัว แม้ว่าเขาจะกลับออกมานานกว่าจะเข้าใจความหมายของท่านอ๋องก็ตาม สองคนนี้…เป็นอันใดไปไม่ได้เด็ดขาด