ตอนที่ 607 ยั่วยุ คนชุดคลุมสีดำลึกลับ (3)
เพียงแต่ ความชื่นชมที่มีต่อหนานกงมั่วกลับมีเพิ่มขึ้นกว่าหลายเท่า สมแล้วที่เว่ยฮูหยินผู้นี้เป็นบุคคลที่ท่านอ๋องและขุนพลจูยอมให้มาอยู่ในสนามรบ การต่อสู้ ความกล้าหาญ วิชาการแพทย์ ความรอบรู้ ต่อให้อยู่ท่ามกลางบุรุษก็เหนือชั้นกว่ามาก
‘ฟิ้ว!’ ลูกธนูพุ่งตรงแหวกอากาศเข้ามายังป้อมปราการประตูเมือง
“ระวัง” หนานกงมั่วผลักนายทหารชั้นสูงด้านข้างออก แสงสีเงินของกริชในมือปรากฏขึ้น ตรงดิ่งเข้าหาธนูดอกนั้น ตัดลูกธนูร่วงลงไป เห็นชัดว่าคนที่ยิงธนูดอกนี้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้ลูกธนูจะถูกกริชเงินของหนานกงมั่วตัดแล้วทว่ากลับสะท้อนจนมือของหนานกงมั่วรู้สึกชา ใบหน้าของหนานกงมั่วเริ่มทะมึนขึ้น กริชในมือสะท้อนแสงสีเงินออกมา ลูกธนูพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ขณะเดียวกันมืออีกหนึ่งข้างก็ยื่นออกไปจับลูกธนูนั้นเอาไว้ได้อย่างนุ่มนวล
ครั้งนี้ท่าทางนั้นดูเหมือนจะซับซ้อน ทว่าเป็นเพียงเวลาชั่วครู่เท่านั้น นายทหารชั้นผู้น้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างตื่นตกใจจนใบหน้าซีดขาว หากหนานกงมั่วจับลูกธนูไว้ไม่ทัน คนที่จะโดนลูกธนูดอกนั้นปักเข้าก็คงเป็นเขา บนป้อมเหนือประตูนั้นมีคนอยู่มาก ลูกธนูพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วหากคิดจะหลบก็คงหลบไม่ทัน แน่นอนว่าหนานกงมั่วไม่อาจช่วยคนตรงหน้าทว่าปล่อยให้คนด้านหลังต้องโชคร้าย จึงได้ยื่นมือออกไปจับปลายหางลูกธนูเอาไว้
หันกลับไปมองไกลออกไป พลันมองเห็นชายสูงใหญ่ชาวเป่ยหยวนวนลดคันธนูในมือลง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจฆ่าใคร เพียงอยากทักทายหรืออาจจะ…ยั่วยุก็เท่านั้น
นายทหารชั้นสูงเองก็ตกใจ มองไกลออกไป เอ่ย “ผู้นั้นคือไห่รื่อกู่ ถูกขนานนามว่ายอดฝีมือยิงธนูอันดับหนึ่งของเป่ยหยวน”
“ไม่ธรรมดาจริงๆ” หนานกงมั่วมองมือเรียวขาวราวกับหยก เอ่ยเสียงเรียบ
นายทหารชั้นสูงส่งเสียงเย็น “คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาด้วย”
หนานกงมั่วกลับไม่ใส่ใจนัก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นักยิงธนูมือหนึ่ง ในสนามรบนั้นมีข้อจำกัด “ดังเช่นยอดฝีมือวรยุทธ์สูงส่งคนหนึ่งเมื่ออยู่ในสนามรบก็มีข้อจำกัด ต่อให้ยิงธนูตลอดเวลา คนหนึ่งคนจะยิงคนตายได้สักกี่คนกัน ยิ่งเป็นยอดฝีมือเมื่ออยู่ในสนามรบยิ่งกลายเป็นเป้าหมายของศัตรูได้ง่าย
นายทหารครุ่นคิด นึกขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ก้มหน้าไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “นึกออกแล้วแม่ทัพอันหย่วนที่ถูกเว่ยฮูหยินและผู้บังคับการเว่ยสังหารก่อนหน้านี้คล้ายกับว่าจะเป็นพี่ชายของไห่รื่อกู่ ต่อไปเว่ยฮูหยินเจอคนผู้นี้ต้องระมัดระวังด้วย”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ขอบคุณท่านขุนพลที่เอ่ยเตือน” หันกลับมาครุ่นคิด หนานกงมั่วเอ่ย “ในเมื่อเขามอบของขวัญเจอหน้าให้แล้ว พวกเราไม่ให้บ้างคงเสียมารยาท”
นายทหารตกใจ มองหนานกงมั่วด้วยความสนใจ “ฮูหยินอยากประลองธนูกับเขาหรือ”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “ประลองธนูกับมือยิงธนูอันดับหนึ่งของเป่ยหยวน เช่นนั้นคงเป็นดั่งทำขวานหน้าบ้านหลู่ปัน เพียงแต่…” หนานกงมั่วแสยะยิ้มเย็น สะบัดแขนเสื้อแสงสีเงินพุ่งออกไป มุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่ไกลออกไป
ทั้งสองฝั่งอยู่ห่างกันอย่างน้อยห้าหกสิบจั้ง แม้หนานกงมั่วจะยอดเยี่ยมเรื่องอาวุธลับหรือกำลังภายใน ระยะนี้ยังนับว่าไกลมาก หากต้องการทำร้ายอีกฝ่ายนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไห่รื่อกู้ผู้นั้นเป็นนักยิงธนู สำหรับความสามารถแน่นอนว่าเยี่ยมยอด ยกมือขึ้นไปจับอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาหาตนเองด้วยท่าทีสบายๆ และดูถูก ความจริงไม่นับว่าเขาคว้าจับเอาไว้ได้ อาวุธลับมาถึงไม่ไกลจากตรงหน้าเขาก็ร่วงลงไป
ถือเอาไว้ในมือ พร้อมทั้งแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามส่งไปให้หนานกงมั่ว
มุมปากของหนานกงมั่วกระตุกยิ้มเย็นขึ้นมา
ด้านหลังไห่รื่อกู่ เสียงทุ้มต่ำของชายในชุดคลุมสีดำที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นทันใด “โยนทิ้งไป”
ไห่รื่อกู่ชะงัก มองไปยังมีดสั้นสีเงินในมือของตนเอง พบว่ามือที่ถือมีดสั้นอยู่นั้นกำลังมีไอสีดำจางๆ รีบโยนมีดสั้นทิ้งไป ภาพตรงหน้าดับลง ร่างทั้งร่างทิ้งตัวร่วงลงจากหลังม้า
ผู้คนที่อยู่บนป้อมเหนือประตูแม้จะไม่ได้ยินแต่มองเห็นทุกๆ การเคลื่อนไหว หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ฝั่งแม่ทัพของเป่ยหยวนอลหม่านขึ้นมาทันใด จ้องเขม็งมายังหนานกงมั่วด้วยความโกรธแค้น จากนั้นออกคำสั่งถอนกำลังกลับไป
มองเห็นกองกำลังของเป่ยหยวนที่ล่าถอยออกไป หนานกงมั่วยืนอยู่เหนือป้อม มองไกลออกไปราวกับกำลังคิดอันใดอยู่ สุดท้ายก่อนจะกลับไป ชายในชุดคลุมสีดำผู้นั้นราวกับมองมาที่นาง
หลังสงครามจบลง ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอีกครั้ ง กองกำลังที่หนานกงมั่วฝึกฝนแสดงฝีมือออกมาได้ไม่เลว ไม่เพียงสังหารศัตรูในสงครามไม่น้อย ซ้ำยังช่วยทหารบาดเจ็บไปไม่น้อย แม้ว่าการลงสนามรบครั้งแรกจะยังไม่คุ้นชิน ทว่าพวกเขายังจำคำสั่งสอนที่หนานกงมั่วพร่ำสอนได้ พยายามช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บให้ได้มากที่สุด สิ่งที่ทำให้หนานกงมั่วชื่นชมที่สุดก็คือคนเหล่านี้ไม่มีใครตายในสงครามเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงบาดเจ็บหนักสองคนเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่มีบาดแผลอันใดมากนัก
นายทหารชั้นสูงที่เฝ้าสถานที่ตั้งกองกำลังทหารเองยิ่งรู้สึกชื่นชมทหารเหล่านี้ขึ้นไปอีก แม้ในกองทัพไม่เคยขาดคน แต่ทหารเก่ากับทหารใหม่อย่างไรก็ยังแตกต่าง ทุกครั้งที่ทำสงคราม บางครั้งทหารใหม่ก็ตายไปกว่าครึ่ง ทหารเก่าที่เคยทำการรบมาแล้วบ้างจะมีโอกาสรอดมากกว่า แน่นอนว่าประสบการณ์และความแข็งแกร่งนั้นย่อมต้องดีกว่า
หนานกงมั่วเอ่ยลานายทหารเฝ้าประจำการณ์จากนั้นลงไปหาคนของตนเอง มองเห็นคนเหล่านั้นช่วยเหลือหมอประจำกองทัพดูแลคนบาดเจ็บด้วยดวงตาเป็นประกาย แม้พวกเขาจะไม่ใช่หมอที่เก่งกาจ แต่บาดแผลภายนอกทั่วไปไม่จำเป็นต้องเก่งกาจ เพียงฝึกใช้ยาให้คล่อง พันแผลได้เท่านั้นก็พอแล้ว เมื่อเทียบกับลูกศิษย์อายุน้อยที่ได้แต่ทำตามคำสั่ง ทหารธรรมดาที่ได้รับการฝึกเหล่านี้ดูมีประสิทธิภาพมากกว่า รอจนหนานกงมั่วไปถึง นายทหารใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วต่างได้รับการทำแผลเป็นที่เรียบร้อย และยังไปช่วยที่อื่นแล้ว
“ฮูหยิน” นายทหารคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหนานกงมั่ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศษฝุ่นจากการทำสงคราม รูปร่างซีดเซียวและผอมบางที่เคยมีตอนนี้ไม่เหลืออยู่แล้ว วันนี้ผ่านการรบไปแล้วยิ่งทำให้คนรู้สึกเฉียบขาดและเด็ดเดี่ยวมากขึ้น
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ทำได้ดีมาก”
นายทหารผู้นั้นยิ้มออกมา เอ่ย “ขอบคุณฮูหยินที่สั่งสอน ฮูหยิน ข้าสังหารศัตรูไปหนึ่งคน”
“ดีมาก พยายามต่อไป ไปทำธุระต่อเถิด”
“ขอรับ”
หนานกงมั่วมองเห็นเซวียปินและเฉินซิวท่ามกลางผู้คน ยามนี้ดูไม่ออกแล้วว่าคนเหล่านี้คือคุณชายตระกูลร่ำรวยแห่งโยวโจว ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเศษฝุ่นนั่งหอบหายใจอยู่บนพื้นเหมือนทหารอื่นๆ เซวียปินยิ่งนอนราบไปกับพื้นราวกับหมาตาย ดูไม่ออกเลยว่าแตกต่างไปจากทหารทั่วไปอย่างไร
มองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา เฉินซิวพยายามลุกขึ้นนั่ง “เว่ยฮูหยิน”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มเอ่ยถามเซวียปิน “คุณชายเซวีย ความรู้สึกเมื่ออยู่ในสงครามเป็นเช่นไร”
เซวียปินมีสีหน้าแปลกประหลาดมองไปที่นาง ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว เพียงเอี้ยวตัวก็อาเจียนออกมา
“นี่คือความสามารถของท่านหรือ” หนานกงมั่วยิ้มตาหยี “ก่อนหน้านี้ยังเอ่ยอย่างหนักแน่น อยู่ในสงครามมิใช่อาศัยเฉินซิวและจูเหมิงคอยปกป้องท่านหรอกใช่หรือไม่”
เซวียปินหันกลับมา กลอกตาใส่นาง รสชาติในปากนั้นแปลกๆ เขาไม่อยากเอ่ยวาจาแม้แต่น้อย เฉินซิวมองเขาอย่างจนปัญญา เอ่ย “เว่ยฮูหยิน พี่เซวียในสนามรบนั้นองอาจห้าวหาญ” เพียงแต่ความองอาจห้าวหาญนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นชีวิตศัตรูเป็นผักเป็นปลาหรือเพราะกลัวจนไม่คิดสิ่งใดกันแน่ เห็นใครก็ฟัน เพียงแต่เมื่อพวกเขากลับออกมาแล้ว คนที่อาเจียนก็คงมีเพียงเซวียปินคนเดียว
[1] ทำขวานหน้าบ้านหลู่ปัน เป็นสำนวนจีน มีความหมายว่า สอนผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ดีอยู่แล้ว ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า สอนจระเข้ว่ายน้ำ หรือ สอนหนังสือสังฆราช