องค์หญิงฉังผิงขมวดคิ้ว ส่งสัญญาณบอกให้มามาที่อยู่ด้านข้างเข้าไปรับคุณหนูเล็กมา เฉินซื่อกลับไม่ยอมปล่อย เพียงกอดเด็กร้องห่มร้องไห้ มามาผู้นั้นเองก็ไม่กล้าเข้าไปแย่ง ทำได้เพียงหันไปมององค์หญิงฉังผิงอย่างจนปัญญา องค์หญิงฉังผิงเอ่ยเสียงเข้ม “พระชายาซื่อจื่อ มีอันใดก็ลุกขึ้นมาคุย เจ้าเอาแต่ร้องไห้ไม่พูดไม่จา หรือว่าใครไม่มีตาผู้ไหนตัดญาติขาดมิตรกับเจ้าหรือ”
“เจ้าส่งเด็กให้มามาอุ้มเถิด เดี๋ยวข้าให้คนไปเชิญหมอ” องค์หญิงฉังผิงเอ่ย
เฉินซื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ “หม่อมฉัน…หม่อมฉันอุ้มก็พอเพคะ เด็กคนนี้ กลัวคนแปลกหน้า” องค์หญิงฉังผิงเกือบจะมีโทสะแล้ว กลัวคนแปลกหน้าอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่ใช่มารดาของเด็กเสียหน่อย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อุ้มเด็กกลับเรือนไป เดี๋ยวหมอมาแล้วก็จะตรงไปที่นั่น ยามนี้เจ้ายังถูกกักบริเวณ อุ้มออกมาตามใจชอบจะบอกกับพี่สะใภ้สามเยี่ยงไร”
เฉินซื่อดวงตาไหววูบ คุกเข่าลงไปอีกครั้ง “เสด็จอา หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ขอเสด็จอาช่วยขอร้องเสด็จแม่ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ…” องค์หญิงฉังผิงตกใจ สุดที่จะทนจึงกัดฟันเอ่ย “ข้าไม่สนว่าเจ้าต้องการเอ่ยเยี่ยงไร ส่งเด็กให้มามาก่อน” เดี๋ยวลุกเดี๋ยวคุกเข่า เฉินซื่อไม่เป็นไรกลัวแต่เด็กจะรับไม่ไหว
สีหน้าองค์หญิงฉังผิงมีท่าทีเย็นชาขึ้นมา ในที่สุดเฉินซื่อก็ส่งเด็กให้ไป มามาเปิดผ้าอ้อมของคุณหนูเล็กออก ขมวดคิ้ว “ทูลองค์หญิง คุณหนูเล็กมีไข้ เกรงว่าคงเป็นไข้หวัดเพคะ”
“รีบพาไป ตามหมอในจวนมาดูเดี๋ยวนี้” องค์หญิงขมวดคิ้วออกคำสั่ง มามารีบอุ้มพาเด็กออกไป องค์หญิงฉังผิงนวดหัวคิ้วมองไปยังเฉินซื่อ เอ่ย “เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่ เอ่ยมาเถิด”
เฉินซื่อเอ่ยอย่างเสียใจ “เสด็จอาทรงให้ความเป็นธรรม สาวใช้พวกนั้นไม่ยอมฟังคำสั่ง จูเอ๋อร์ป่วยแล้วให้พวกเขาไปตามหมอ พวกเขากลับไม่สนใจ…”
“พอแล้ว” องค์หญิงฉังผิงเอ่ย “พวกเขามีกี่ชีวิตกันถึงจะกล้าไม่สนใจต่ออาการป่วยของจูเอ๋อร์ ให้ข้าเรียกคนมาถามดีหรือไม่”
เฉินซื่อกัดฟันไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด องค์หญิงฉังผิงมองนางแล้วส่ายศีรษะ เอ่ย “ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้เลือกคุณหนูใหญ่ตระกูลเซวียให้เหว่ยเอ๋อร์เจ้าไม่พอใจ ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือ ฝ่าบาทเลือกซั่นจยาจวิ้นจู่ให้เหว่ยเอ๋อร์ด้วยพระองค์เอง เจ้าดีใจแล้วหรือไม่ ไม่ต้องเอ่ยถึงชาติกำเนิดและฐานะของซั่นจยาจวิ้นจู่ ฝีมือและตัวนางเอง มิใช่ข้าดูถูกเจ้า ต่อให้เจ้ามีแปดศีรษะก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
“เสด็จอา…” เฉินซื่อหลุบตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
องค์หญิงฉังผิงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคิดว่าพี่สะใภ้สามไม่ดีกับเจ้า ไม่รู้หรือว่านางคิดเผื่อพวกเจ้ามากเพียงใด นางเลือกคุณหนูใหญ่ตระกูลเซวียให้เหว่ยเอ๋อร์ เจ้าเพียงมองพลังและอำนาจของตระกูลเซวีย แต่กลับไม่มองว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเซวียนั้นเกิดในตระกูลขุนพล นิสัยซื่อตรงจิตใจกว้างขวาง เจ้ามีฐานะเป็นพระชายาซื่อจื่อ อีกทั้งยังช่วยพี่สะใภ้สามดูแลเรือน พี่สามพี่สะใภ้สามใครก็ไม่ได้เลอะเลือน อย่างไรก็ไม่มีทางกดลูกสะใภ้ใหญ่ให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้รอง ขอเพียงเจ้าไม่ก้าวพลาด คุณหนูใหญ่ตระกูลเซวียเข้ามาแล้วจะทำอันใดเจ้าได้ ตอนนี้พอแล้ว เพียงแต่งเข้ามาก็เป็นจวิ้นจู่ เจ้าเป็นเพียงพระชายาซื่อจื่อจะเอาอันใดไปสู้กับนางได้”
เฉินซื่อเช็ดน้ำตา “เสด็จอา หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ขอเสด็จอาช่วยพูดกับเสด็จแม่ ต่อไปหม่อมฉันจะปรับปรุง”
“ตอนนี้เสด็จแม่ของเจ้ายังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยตอบ
ใบหน้าเฉินซื่อซีดขาวขึ้นมา อดไม่ได้หันไปมองหนานกงมั่วที่อยู่ด้านข้าง “พี่สะใภ้…” หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ถอนหายใจออกมา “สิ่งที่ข้าเคยเอ่ยบอก ในเมื่อเจ้าไม่ฟัง ข้าก็ไม่มีอันใดต้องเอ่ยแล้ว”
เฉินซื่อท่าทางคับแค้นอยู่ในใจ ก้มหน้าลงไปเงียบๆ
เสียงดังขึ้นด้านนอก หนึ่งในนั้นยังมีเสียงร้องไห้ขึ้นมาด้วย องค์หญิงฉังผิงขมวดคิ้ว สาวใช้ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามา “ทูลองค์หญิง อานซื่อเรือนซื่อจื่อมาร้องไห้อยู่หน้าประตูเพคะ บอกว่า…บอกว่าพระชายาซื่อจื่ออุ้มลูกของนางหนีไป”
องค์หญิงฉังผิงกวาดตามองเฉินซื่อเล็กน้อย “บอกไปว่าคุณหนูเล็กไม่เป็นไร อยู่กับข้าที่นี่ ชั่วครู่เดี๋ยวจะส่งกลับไป” องค์หญิงฉังผิงทำเช่นนี้นับว่าไว้หน้าเฉินซื่อ หากอานซื่อรู้ว่าบุตรีของนางป่วยคงจะวุ่นวายมากกว่านี้ สาวใช้เอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจ “แต่ว่า…อานซื่อบอกว่า อานซื่อบอกว่าพระชายาซื่อจื่อทำให้คุณหนูเล็กป่วย ต้องการทำร้ายคุณหนูเล็กเพคะ”
“นางกล่าวเหลวไหล” เฉินซื่อเสียงดังขึ้นมา
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ดูเหมือนว่าใครก็ไม่ใช่ตะเกียงไรน้ำมันเลยเพคะ เสด็จแม่ ให้นางเข้ามาพูดคุยให้ชัดเจนเถิดเพคะ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงคงไม่เป็นการดี”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า “ให้นางเข้ามา”
อานซื่อเดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ ไม่มองเฉินซื่อแม้เพียงนิด ตรงไปยังหน้าองค์หญิงฉังผิง “องค์หญิง พระองค์ได้โปรดช่วยลูกสาวของหม่อมฉันด้วยเพคะ ฮือๆ…ได้โปรดเถิดเพคะ องค์หญิงทรงมีเมตตา…”
องค์หญิงฉังผิงเสียงเข้ม เอ่ย “เอาล่ะ เอ่ยมาเถิด เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
อานซื่อมองเฉินซื่อด้วยสายตาโกรธแค้น เอ่ยทั้งน้ำตา “สองวันก่อนพระชายาซื่อจื่อสั่งให้คนอุ้มจูเอ๋อร์ไปดูแล หม่อมฉันจำต้องส่งเด็กให้ หม่อมฉันเป็นห่วงลูกสาว อดไม่ได้คอยถามไถ่ข่าวคราวอยู่ตลอด เมื่อวานจูเอ๋อร์กลับป่วยแล้ว แต่พระชายาซื่อจื่อไม่ยอมให้ใครเชิญหมอมาตรวจ ฮือๆ…เช้าวันนี้ พระชายากลับบอกว่าสาวใช้ในเรือนไม่เชื่อฟังทำให้ล่าช้าต่ออาการป่วยของจูเอ๋อร์ อุ้มจูเอ๋อร์วิ่งออกมา องค์หญิงมีปัญญาเฉียบแหลม พระชายาซื่อจื่อ…ลูกสาวที่น่าสงสารของหม่อมฉัน”
“อานซื่อ เจ้าบังอาจนัก” เฉินซื่อโกรธขึ้นมา กัดฟันเอ่ย “เจ้าใส่ร้ายข้า ข้าไม่ให้หมอมาตรวจจูเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อใด”
อานซื่อกัดริมฝีปาก เอ่ย “เมื่อวานมามาที่ดูแลจูเอ๋อร์ก็บอกว่าจูเอ๋อร์ป่วยแล้ว พระชายาก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ป่วย ไม่ใช่ว่า…พระชายาซื่อจื่อ ต่อให้จูเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกที่ท่านคลอดออกมา แต่อย่างไรก็เป็นบุตรีของซื่อจื่อนะเจ้าคะ ไยท่านจึงใจร้ายได้เพียงนี้…”
“หุบปาก” เฉินซื่อเอ่ยเสียงดัง “หญิงแพศยาเช่นเจ้าล่อลวงซื่อจื่อไม่พอ ยังใส่ร้ายข้าต่อหน้าเสด็จอา ต่อให้โบยจนตายก็ยังไม่สมกับความผิดที่ทำลงไป”
“ต่อให้หม่อมฉันตาย ขอเพียงจูเอ๋อร์ไม่เป็นไรก็เพียงพอแล้วเพคะ” อานซื่อเอ่ยเสียงดัง เอ่ยพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ดูทุ่มเทเพื่อบุตรี คนที่มองอยู่อดสงสารขึ้นมาไม่ได้ องค์หญิงฉังผิงจับจ้องไปยังทั้งสองคน ใบหน้าทะมึน “พอแล้ว ข้าไม่อยากสนใจว่าพวกเจ้าใครจะถูกใครจะผิด ในเมื่อเป็นเรื่องของเรือนซื่อจื่อก็ให้ซื่อจื่อจัดการเองเถิด เด็กๆ ไปเชิญซื่อจื่อมา”
“เพคะ องค์หญิง”
ห้องทั้งห้องเงียบลงทันที มีเพียงเสียงสะอื้นของอานซื่อดังอยู่เนืองๆ หนานกงมั่วมองสำรวจสตรีตรงหน้าด้วยความสนอกสนใจ ที่ใดมีคนที่นั่นมีการแย่งชิงจริงๆ แม้แต่จวนเยี่ยนอ๋องก็เลี่ยงไม่ได้ สองคนตรงหน้านี้ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ไม่ได้ใสซื่อ เฉินซื่อต้องการพึ่งอาการป่วยของเด็กเพื่อออกมา มารดาที่ไหนอดทนรอได้จนกระทั่งเฉินซื่ออุ้มเด็กออกมาจึงมาร่ำไห้ร้องทุกข์ได้บ้าง หากเฉินซื่อมาช้ากว่านี้เล่า