ไม่โทษทั้งสองที่มีท่าทีเกรงอกเกรงใจต่อหนานกงมั่วเพียงนี้ ใครต่างก็รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จวนเยี่ยนอ๋องไม่ได้เต็มใจนัก เยี่ยนอ๋องอาจไม่สามารถเอาเรื่องกับฮ่องเต้ได้ แต่หากอยากตัดหัวขุนนางขั้นห้าขั้นหกอย่างพวกเขาสองคนล่ะก็ ไม่มีใครกล้าว่าอย่างไรเป็นแน่
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ไต้เท้าทั้งสองมีพิธีรีตอง หลายวันมานี้พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่สบาย ไม่ได้ต้อนรับทุกท่านให้ดีคงต้องขออภัยแล้ว ไม่รู้ว่าซั่นจยาจวิ้นจู่และแม่นางซุนสบายดีหรือไม่”
ทั้งสองคนพ่นลมหายใจออกมา เริ่นจื่ออันยิ้ม เอ่ยว่า “จวิ้นจู่กล่าวหนักไปแล้ว พระวรกายของพระชายาเยี่ยนอ๋องนั้นสำคัญเป็นที่หนึ่ง ไม่รู้ว่าพระชายา…”
“พระชายาใกล้จะหายดีแล้ว อย่างน้อยช่วงนี้เกรงว่าคงไม่อาจออกจากเรือนได้” หนานกงมั่วเอ่ย เริ่นจื่ออันประหม่าเล็กน้อย พระชายาเยี่ยนอ๋องป่วยเพราะเหตุใดพวกเขารู้อยู่แก่ใจ รีบเอ่ย “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระวรกายพระชายาเป็นสำคัญขอรับ” หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ข้ารับคำสั่งจากพระชายาให้มาเยี่ยมซั่นจยาจวิ้นจู่และแม่นางซุน ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือไม่”
“แน่นอนขอรับ เชิญจวิ้นจู่”
หนานกงมั่วหันกลับไปเอ่ยกับคนด้านหลัง “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอกเป็นพอ” ผู้คนจวนเยี่ยนอ๋องที่ติดตามหนานกงมั่วมารีบขานรับ ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ขยับ มีเพียงไม่กี่คนที่ต้องนำของขวัญตามเข้าไป
ในเรือนด้านหลัง ซุนเหยียนเอ๋อร์มองออกไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง ใบหน้าเล็กงดงามมีความเศร้าแฝงอยู่มาก แม้ตัวนางจะไม่ถือว่าเฉลียวฉลาดแต่ก็ไม่ได้โง่ มาอยู่ที่โยวโจวหลายวันแล้วใช่ว่าจะไม่เข้าใจท่าทีของจวนเยี่ยนอ๋องที่มีต่อตนเอง เมื่อครั้งมีราชโองการพระราชทานสมรสออกมา ไม่เพียงนางแม้แต่ท่านปู่เองก็ตกใจ ตระกูลซุนของพวกนางไม่ได้โดดเด่นในราชสำนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รับสมรสพระราชทานกับเชื้อสายหลักของชินอ๋อง ต่อให้เป็นคนที่สามก็ตาม เมื่อครั้งท่านแม่กอดนางร้องไห้อย่างเป็นกังวล นางทำได้เพียงเก็บความหวาดกลัวซ่อนเอาไว้ในใจเงียบๆ
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านปู่เอ่ยก่อนที่จะออกเดินทางยิ่งรู้สึกกังวลขึ้นมาหลายเท่า
“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องจำเอาไว้ สตรีแต่งออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี ไม่ว่าฝ่าบาทจะส่งเจ้าไปแต่งงานกับคุณชายสามของเยี่ยนอ๋องด้วยเหตุผลใด ในเมื่อแต่งออกไปแล้ว เจ้าก็คือคนของจวนเยี่ยนอ๋อง เรื่องในบ้าน เจ้าไม่ต้องสนใจ คิดเสียว่า…เจ้าไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลซุนแล้ว ตระกูลซุนไม่อาจเป็นที่พึ่งให้เจ้าได้ ต่อไปก็ไม่จำเป็นให้เจ้าทำสิ่งใดเพื่อพวกเรา”
นางเข้าใจความหมายของท่านปู่ ท่านปู่เอ่ยเช่นนี้เพื่อตัวนางเอง แต่ว่า…นับแต่นี้เป็นต้นไปนางก็กลายเป็นคนไม่มีบ้านแล้ว จวนเยี่ยนอ๋อง…จะเป็นบ้านใหม่ให้นางหรือ
“คุณหนูซุน” หน้าประตูมีเสียงเรียบของจูชูอวี้ดังขึ้น ซุนเหยียนเอ๋อร์หันกลับไปมองสตรีที่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่ยอมรับไม่ได้ว่าซั่นจยาจวิ้นจู่ผู้นี้เป็นสตรีที่โดดเด่นอันดับต้นๆ แม้ใบหน้าจะมีร่องรอยแผลเป็น แต่ผ่านการรักษาของหมอ อีกทั้งฝีมือยอดเยี่ยมในการตกแต่ง ยามนี้บนใบหน้าราวกับมีการวาดภาพสีม่วงบางๆอย่างชาญฉลาด บวกกับชุดสีม่วงไปทั้งตัว ยิ่งทำให้นางมีเสน่ห์มากขึ้น เพียงแต่ ซุนเหยียนเอ๋อร์กลับไม่ชอบพูดคุยกับจูชูอวี้นัก นางรู้ตัวดีว่าซั่นจยาจวิ้นจู่ผู้นี้มิใช่คนที่นางจะรับมือได้ ดังนั้นตลอดเส้นทางทั้งสองจึงห่างเหิน
“คารวะจวิ้นจู่” ซุนเหยียนเอ๋อร์ลุกขึ้นย่อตัวลงเล็กน้อย
จูชูอวี้เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี ต่อไปพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เช่นนี้ก็จะไม่ห่างเหินแล้วใช่หรือไม่”
ซุนเหยียนเอ๋อร์ยิ้มบาง เอ่ย “มารยาทไม่อาจละทิ้ง”
จูชูอวี้มองการตกแต่งในห้องของนาง ยิ้มพลางเอ่ย “แม่นางซุนช่างเยือกเย็นและสงบเงียบ”
“จวิ้นจู่…มีเรื่องอันใดหรือไม่” ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม รอยยิ้มบนใบหน้าของจูชูอวี้ชะงักไปเล็กน้อย ถอนหายใจออกมา เอ่ย “ไม่มีอันใด เพียงจิตใจไม่สงบจึงมาพูดคุยกับแม่นางซุนเท่านั้น สถานะเช่นเราในตอนนี้ นอกจากแม่นางซุน ข้ายังจะคุยกับใครได้อีก”
ซุนเหยียนเอ๋อร์หลุบตาลงไม่เอ่ยตอบ
ดวงตาของจูชูอวี้วูบไหว ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ แม่นางซุนผู้นี้ดูจะเก็บเนื้อเก็บตัว ความจริงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ทั้งสองไม่ห่างเหินไม่สนิทสนมเช่นนี้มาตลอดทาง หากเป็นคนทั่วไปเจอสถานการณ์เช่นนี้สิ่งแรกที่จะทำก็คงเป็นการทำความรู้จักกับอีกฝ่าย อย่างไรพวกนางก็เป็นคนที่มาจากจินหลิงด้วยกัน ไมตรีจิตที่มาจากเมืองเดียวกันต้องเพิ่มขึ้นจึงจะถูก แต่ว่าซุนเหยียนเอ๋อร์ราวกับไม่คิดอันใดเลย ท่าทางราวกับกลัวทำเรื่องผิดพลาด ดูเหมือนขี้ขลาด ความเป็นจริงกลับตีตัวออกห่าง
ละทิ้งทุกอย่างที่จินหลิง เดินทางไกลเป็นพันลี้มายังโยวโจว จูชูอวี้ใช่ว่าจะไม่มีความลังเล ท่านพ่อเองก็ไม่เข้าใจการกระทำของนาง แต่ว่า…ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น นางทำถูก ต้องมีสักวัน ทุกคนจะรับรู้ว่านางทำถูกแล้ว
“จวิ้นจู่ แม่นางซุน ซิงเฉิงจวิ้นจู่มาแล้วเจ้าค่ะ” ด้านนอก เสียงสาวใช้วิ่งเข้ามารายงานด้วยความยินดี ถูกคนจวนเยี่ยนอ๋องละเลยมาหลายวัน แม้แต่เหล่าสาวใช้เองก็ไม่อาจสะกดกั้นอารมณ์เอาไว้ได้
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่หรือ” จูชูอวี้ชะงัก เวลานี้ต่อให้พระชายาเยี่ยนอ๋องออกมาไม่ได้ คนที่มาก็ควรเป็นพระชายาผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องจึงจะถูกมิใช่หรือ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางซุน พวกเราออกไปต้อนรับซิงเฉิงจวิ้นจู่เถิด”
“เจ้าค่ะ” ได้ยินว่าหนานกงมั่วมาแล้ว ใบหน้าของซุนเหยียนเอ๋อร์จึงเผยรอยยิ้มออกมา ไม่ว่าอย่างไร ได้ยินถึงชื่อคนคุ้นเคยก็นับว่าเป็นเรื่องดี
“ไม่ต้องหรอก ไม่เจอกันนานทั้งสองสบายดีหรือไม่” ด้านนอก เสียงร่าเริงของหนานกงมั่วดังขึ้น ทั้งสองหันกลับไปพลันมองเห็นหนานกงมั่วกำลังเดินเข้ามา คนที่ตามหนานกงมั่วมาแน่นอนว่าไม่สะดวกตามเข้าไปในห้องของสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ทำได้เพียงยืนถือของขวัญรออยู่ด้านนอก
จูชูอวี้ยิ้มหวาน “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ไม่เจอกันนาน”
หนานกงมั่วพยักหน้าตอบรับ หันไปหาซุนเหยียนเอ๋อร์ “เหยียนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง”
ซุนเหยียนเอ๋อร์เม้มริมฝีปากยิ้ม “สบายดี ดูเหมือนจวิ้นจู่จะอิสระยิ่งกว่าอยู่ที่จินหลิงเสียอีก”
หนานกงมั่วยิ้ม “โยวโจวเป็นสถานที่ที่ไม่เลว”
จูชูอวี้มองทั้งสองคน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่เชิญนั่งเถิด”
หนานกงมั่วกล่าวขอบคุณ เดินไปนั่งลงด้านข้างของโต๊ะ พร้อมเอ่ยขึ้น “บังเอิญเสด็จป้าล้มป่วย ต้อนรับทั้งสองไม่ดีแล้ว เสด็จป้าสั่งให้ข้านำของขวัญมาให้ ถือเป็นการขอโทษเจ้าทั้งสอง”
ทั้งสองลอบถอนหายใจ แม้แต่จูชูอวี้เองยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย นิสัยของเยี่ยนอ๋องนางเองก็รู้ ต่อให้ส่งพวกนางกลับคืนไปก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ดูเหมือนตอนนี้ เห็นชัดว่าเยี่ยนอ๋องมีความอดทนและฉลาดกว่าที่พวกนางคิด
สั่งให้คนข้างๆ ไปรับของขวัญ จูชูอวี้ยิ้ม เอ่ยว่า “พระชายาเยี่ยนอ๋องเกรงใจแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มบางไม่เอ่ยวาจา จิบชาที่เพิ่งยกมาเมื่อครู่ เอ่ย “เจ้าทั้งสองอยู่ในโรงเตี๊ยมหากขาดเหลือสิ่งใดให้รีบเอ่ย อย่าได้ให้ตนเองต้องลำบาก”
จูชูอวี้แปลกใจเล็กน้อย “ยามนี้จวนเยี่ยนอ๋องมีจวิ้นจู่ช่วยจัดการดูแลหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มพลางส่ายหน้า เอ่ย “เสด็จป้าป่วยไม่อาจจัดการธุระได้ ยามนี้เป็นเสด็จแม่ช่วยดูแล ข้าเพียงมาแทนเท่านั้น” จูชูอวี้มาถึงโยวโจวไม่สะดวกออกไปข้างนอก แน่นอนไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หนานกงมั่วไม่ได้อยู่ในเมืองโยวโจว เพิ่งกลับมาถึงเมื่อคืน มาถึงช้ากว่าพวกนางอีก
จูชูอวี้พยักหน้า คาดเดาอยู่ในใจไม่รู้ว่าพระชายาผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องนั้นเกิดเรื่องอันใด ตามหลักแล้วพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่อาจจัดการดูแลได้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพระชายาซื่อจื่อจึงจะถูก ไยจึงต้องลำบากถึงต้าจั่งกงจู่ หนานกงมั่วไม่แม้แต่เอ่ยถึงพระชายาซื่อจื่อด้วยซ้ำ เห็นชัดว่าเกิดเรื่องบางอย่างกับพระชายาซื่อจื่อ