หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ข่าวว่าเจ้ามีเรื่องน่ายินดี เมื่อครู่ไยจึงหงอยเหงาเช่นนั้นเล่า”
เซียวเชียนจย่งชะงัก ใบหน้าอ่อนวัยแดงระเรื่อขึ้นด้วยความเขินอาย “พี่สะใภ้ ท่าน…” ท่านก็เอ่ยตรงเกินไป ช่างเปิดเผยเสียยิ่งกว่าสตรีโยวโจวของเรา
หนานกงมั่วยิ้ม “บุรุษแต่งเข้าสตรีแต่งออก มีอันใดต้องเขินอายกัน หรือว่าเจ้าเขินอย่างนั้นหรือ”
เซียวเชียนจย่งรีบยืดตัวขึ้น “เปล่าเสียหน่อย ข้า…ข้าเพียงกังวลว่าซุนอันใดนั่น หากขี้เหร่แล้วจะทำเช่นไร”
“เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล” หนานกงมั่วยิ้ม
“ท่านเคยเห็นนางหรือ” เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น หนานกงมั่วยิ้มไม่เอ่ยวาจา เซียวเชียนจย่งยิ่งอยากรู้มากขึ้น “พี่สะใภ้…”
“เอาล่ะ ล้อเจ้าเล่น” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากับซุนเหยียนเอ๋อร์นับว่าสนิทกัน”
“ความสัมพันธ์พวกท่านดีมากเลยหรือ นางเป็นคนอย่างไร” เซียวเชียนจย่งถามต่อ อย่างไรก็เป็นเด็กอายุสิบสี่สิบห้า กำลังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มเริ่มมีความสนใจต่อหญิงงาม จะไม่สนใจต่อว่าที่ภรรยาของตนได้อย่างไร หนานกงมั่วมองเขา เอ่ยจริงจัง “การแต่งงานครั้งนี้ บิดาและมารดาของเจ้าเอ่ยสิ่งใดกับเจ้าหรือไม่”
เซียวเชียนจย่งชะงัก ก่อนจะเอ่ย “ข้าเข้าใจความหมายของพี่สะใภ้ เสด็จพ่อและเสด็จแม่เองก็เคยเอ่ยกับข้า ยามนี้…ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ในยามที่กำลังไม่ไว้ใจต่อผู้ปกครองเมืองเช่นเรา การแต่งงานครั้งนี้อย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ซุนเหยียนเอ๋อร์ผู้นั้นหากเป็นคนว่าง่ายแน่นอนข้าจะดูแลนางให้ดี ถ้าหาก…”
หนานกงมั่วพยักหน้า “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว พี่รองของเจ้าว่าเยี่ยงไร”
เซียวเชียนจย่งยกมือขึ้นจับศีรษะ ส่ายหน้างุนงง เอ่ย “พี่รองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ข้าเองก็ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ เพียงแต่ ดูแล้วไม่ได้มีทีท่าไม่ยินยอม” หนานกงมั่วพยักหน้า ความจริงเป็นนางคิดมากไปเอง คำสั่งของบิดามารดา คำของแม่สื่อ คนหนุ่มในยุคสมัยนี้คุ้นชินกับการแต่งงานเช่นนี้มานานแล้ว ไหนเลยจะมีความรู้สึกไม่พอใจมากมายเพียงนั้น ขอเพียงครอบครัวของสตรีมีความใกล้เคียง อุปนิสัยไม่มีข้อด่างพร้อยคนส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว เกรงว่าแม้แต่เซียวเชียนจย่งเองก็คงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานมากนัก ไม่ชอบ ก็ค่อยรับอนุภรรยาก็พอแล้ว
“พี่สะใภ้กำลังจะไปไหนหรือ “ เซียวเชียนจย่งเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “เสด็จป้าให้ข้าไปดูสองคนนั้นที่โรงเตี้ยม”
เซียวเชียนจย่งดวงตาวาววับ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกหนานกงมั่วเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน “ไม่ได้”
“พี่สะใภ้” เซียวเชียนจย่งโอดครวญ “ข้ายังไม่ได้พูดเลย”
“เจ้าพูดก็ไม่ได้” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใด ไม่เหมาะสม”
“อย่าสิ พี่สะใภ้ท่านสนใจกฎตั้งแต่เมื่อไรกัน” เซียวเชียนจย่งรีบขวางนางเอาไว้ “ข้ารับรองว่าข้าจะไม่เหลวไหล ข้าเพียงขอไปดูนิดเดียวเท่านั้น คงไม่ใช่ว่าจะแต่งงานแล้วข้าก็ยังไม่รู้ ว่าว่าที่ภรรยาของข้ารูปร่างหน้าตาเป็นเยี่ยงไรหรอกใช่หรือไม่ เกิดนางใบหน้าตกกระจะทำอย่างไร” รอยยิ้มของหนานกงมั่วจางหาย ต่อให้เซียวเชียนเยี่ยโง่เพียงใดก็ไม่มีทางส่งคนใบหน้าตกกระมาให้เชื้อสายหลักของผู้ปกครองเมืองหรอก แม้ใบหน้าของจูชูอวี้จะมีจุดด่างพร้อย แต่ก็ถูกนางปกปิดเอาไว้อย่างดี อย่างน้อยก็ไม่น่าเกลียด
“ข้าบอกแล้วว่าข้าเคยเจอซุนเหยียนเอ๋อร์ นางไม่ได้งดงามราวกับเทพเซียน ทว่าก็เป็นสตรีหน้าตาสะสวยงดงาม” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด รูปร่างหน้าตาไม่มีทางไม่เหมาะสมกับท่านคุณชายเซียวสาม”
“พี่สะใภ้…” เซียวเชียนจย่งมองหนานกงมั่วอย่างน่าสงสาร
หนานกงมั่วกุมขมับ เด็กหนุ่มอายุสิบสี่แต่ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดท่าทางไม่เหมือนเด็กหนุ่มแต่อย่างใดกำลังจ้องมองมายังตน…ดูเหมือนกับหมาตัวใหญ่ที่ถูกทิ้ง
“พี่สะใภ้ ข้าเพียงอยากไปดู ข้า…ข้าปลอมตัวเป็นผู้ติดตามของท่านได้หรือไม่” เซียวเชียนจย่งมุ่งมั่นจะไปดูว่าว่าที่ภรรยาของตนหน้าตาเป็นอย่างไร
หนานกงมั่วจนใจ จำต้องยินยอม เอ่ย “ข้าไม่เอ่ยปาก เจ้าห้ามเอ่ยแม้เพียงประโยคเดียว มิเช่นนั้น…ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะพูดไม่ได้ไปเป็นเดือนแน่”
เซียวเชียนจย่งหดคอ ฝีมือของพี่สะใภ้นั้นเขารู้ดี รีบพยักหน้าเอ่ย “ข้าจะเชื่อฟังพี่สะใภ้ทุกอย่าง ตกลงหรือไม่”
“เช่นนี้ค่อยเป็นเด็กดีสักหน่อย”
หนานกงมั่วนำคนจวนเยี่ยนอ๋องและของขวัญที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ รวมไปถึงเซียวเชียนจย่งที่ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามหนานกงมั่วออกจากจวนเยี่ยนอ๋องมุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมอวิ๋นไหล
เพราะยังไม่ทันแต่งงาน พวกนางจึงไม่สะดวกที่จะพักในจวนเยี่ยนอ๋อง จวนเยี่ยนอ๋องนั้นยังมีเรือนอีกเรือนอยู่ในเมืองโยวโจว แต่ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องป่วยจึงไม่มีใครดูแล เยี่ยนอ๋องแสดงออกมาว่าช่วยไม่ได้ เหล่าขุนนางที่มาส่งเจ้าสาวเองเข้าใจว่าความจริงแล้วนี่เป็นการแสดงถึงความไม่พอใจของเยี่ยนอ๋องที่มีต่อพิธีสมรสในครั้งนี้ ตอนนั้นจึงได้ปฏิเสธผู้ว่าการเมืองโยวโจวที่เชิญไปพักที่จวนผู้ว่าการอย่างสุภาพ เหมาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองเอาไว้ทั้งหมด ทุกคนจึงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
จวนเยี่ยนอ๋องไม่ได้มีไมตรีต่อพวกเขานัก นอกจากวันแรกแล้วก็ไม่เคยมาถามไถ่ เพียงแต่ขุนนางที่มากับขบวนก็ไม่ได้ร้อนใจ ความโกรธครั้งนี้ของเยี่ยนอ๋องอย่างไรก็ต้องระบายออกมา ขอเพียงสุดท้ายการแต่งงานสำเร็จก็เพียงพอ ตอนนี้น่าน้อยใจสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเมื่อได้ยินคนมารายงานว่าเว่ยฮูหยินน้อยมาขอพบ ขุนนางผู้มาส่งเจ้าสาวจึงได้ถอนหายใจออกมา ในที่สุดวันเวลาแห่งความอึดอัดก็จะผ่านพ้นไปแล้ว
เว่ยฮูหยินน้อยเป็นใคร แน่นอนว่าพวกเขารู้อยู่แก่ใจ เคยเป็นคุณหนูใหญ่จวนฉู่กั๋วกง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้ง ลูกสะใภ้ขององค์หญิงฉังผิง ยามนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องล้มป่วย ต้าจั่งกงจู่แน่นอนไม่อาจมาต้อนรับพวกเขาด้วยตนเองได้ เว่ยฮูหยินน้อยผู้นี้เดินทางมาแสดงว่าจวนเยี่ยนอ๋องนั้นเริ่มมีท่าทีอ่อนลงแล้ว ทุกคนรีบเข้าไปต้อนรับ ท่าทางกระตือรือร้นนั้น ราวกับไม่รู้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนหนานกงมั่วถูกเซียวเชียนเยี่ยส่งคนตามฆ่า
“คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่” ขุนนางสองคนที่ทำหน้าที่นำขบวนส่งตัวเจ้าสาวออกมาต้อนรับ ทำความเคารพ
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ “มิกล้า คนที่ถูกฝ่าบาทถอดตำแหน่ง จวิ้นจู่คำนี้ไต้เท้าทั้งสองมิต้องเอ่ยถึง” ชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดของขุนนางขั้นสามรีบประสานมือตรงหน้า เอ่ย “จวิ้นจู่กล่าวหนักไปแล้ว ฝ่าบาทมิได้มีรับสั่งให้ถอดตำแหน่งของจวิ้นจู่ เกรงว่าคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้ว”
“เอ๋” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว แสดงออกว่าไม่เชื่ออย่างชัดเจน
คนผู้นั้นเอ่ย “จวิ้นจู่อาจไม่รู้ หลังจากที่จวิ้นจู่และต้าจั่งกงจู่จากมา ต้าจั่งกงจู่หลิงอี๋ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท กล่าวถึงจวิ้นจู่มีคุณงามความดีต่อบ้านเมืองอีกทั้งอดีตฮ่องเต้ยังเป็นผู้แต่งตั้ง มิอาจปลดได้ง่ายๆ แม้ฝ่าบาทจะโกรธเกรี้ยว…เพียงแต่ขุนนางฝ่ายในมิได้รับราชโองการถอดตำแหน่งจวิ้นจู่แต่อย่างใดขอรับ” ก็หมายความว่าในตอนที่เซียวเชียนเยี่ยโกรธจัดต้องการถอดตำแหน่งจวิ้นจู่ของนางแต่ก็ไม่เป็นผล หนานกงมั่วยังคงเป็นจวิ้นจู่ที่ถูกแต่งตั้งอยู่
หนานกงมั่วเองไม่ใส่ใจ พวกนางมาไกลถึงโยวโจว เพียงตำแหน่งจวิ้นจู่จะมีประโยชน์อันใด พยักหน้าน้อยๆ เอ่ย “ไต้เท้าผู้นี้คือ…”
คนผู้นั้นรีบเอ่ยตอบ “ข้าน้อยเริ่นจื่ออัน ขุนนางฝ่ายในผู้คุมดูแลงาน คารวะจวิ้นจู่”
ชายหนุ่มอีกคนที่ดูยังหนุ่มรีบประสานมือเอ่ย “ข้าน้อยหยางหย่วน กรมพิธีการผู้คุมดูแลงานขอรับ”
ทั้งสองเป็นผู้คุมดูแลงานทั้งคู่ เพียงแต่ขุนนางฝ่ายในผู้คุมดูแลงานนั้นเป็นขุนนางขั้นห้า กรมพิธีการผู้คุมดูแลงานเป็นขุนนางขั้นหก ดังนั้นขบวนนี้จึงนำโดยไต้เท้าเริ่นผู้นี้