หนานกงมั่วเองไม่สนใจ ยังคงพิงอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยจวินมั่ว เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ ท่านยังเอ่ยเช่นนี้ ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร”
เสียนเกอเบ้ปาก เลิกคิ้วพลางเอ่ย “สองเดือนแล้ว ในตอนที่พวกเจ้ากำลังเจริญก้าวหน้าอยู่ที่เขตชายแดน”
“เอ๋” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว หันกลับมามองเว่ยจวินมั่ว คุณชายเว่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเองก็ไม่รู้ ในกองทัพไม่อาจส่งจดหมายตามอำเภอใจได้”
ศิษย์สองพี่น้องจ้องคุณชายเว่ยเขม็ง เชื่อเจ้าพวกข้าก็โง่แล้ว
คุณชายเสียนเกอส่งเสียงหยัน “ข้ามิได้มาเพียงผู้เดียว”
“ยังมีใครหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว นึกไม่ค่อยออกว่าคนที่ตนเองรู้จักมีใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับคุณชายเสียนเกอ คุณชายเสียนเกอยิ้มเย็น กวาดตาขึ้นลงมองสำรวจนางเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ “สตรีที่แต่งออกเรือนไปแล้วเป็นดั่งน้ำที่ถูกสาดออกไปจริงๆ ไม่รู้ว่าอาจารย์และอาจารย์ลุงรู้ว่าศิษย์น้องลืมพวกเขาไปจนสิ้นแล้วจะเสียใจจนร้องห่มร้องไห้หรือไม่”
หนานกงมั่วชะงัก “ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าอาจารย์มาหรือ” อาจารย์จะหนีจากตานหยางมายังโยวโจวได้ง่ายเพียงนี้เลยหรือ รู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงเลย เดิมทีนางยังคิดว่าต้องเชิญแล้วเชิญอีก หรืออาจต้องใช้คนจำนวนมากสักหน่อยไปลักพาตัวมา
คุณชายเสียนเกอปรายตามองทั้งสองคนเล็กน้อย “เจ้าเด็กไร้หัวใจ ได้ข่าวว่าเจ้าถูกฮ่องเต้ตามสังหาร ตาเฒ่าก็รีบเก็บข้าวเก็บของรีบวิ่งแจ้นมาแล้ว ใครจะรู้ว่าพอมาถึงพวกเจ้ากลับหนีไปอยู่ในกองทัพ ตาเฒ่าไม่ได้เข้าไปสร้างความวุ่นวายในกองทัพคงต้องยกความดีความชอบให้อาจารย์ของข้าแล้ว จริงสิ…ตาเฒ่าโกรธลูกศิษย์อกตัญอย่างพวกเจ้าสองคนมาก พยายามสักหน่อยก็แล้วกัน”
“อาจารย์และอาจารย์อาอยู่ที่ใดหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
เสียนเกอชี้ไปยังภูเขาด้านหลัง เอ่ย “บ้านของเจ้าพึ่งปลูกเสร็จไม่นาน ตาเฒ่าสองคนนั้นก็ย้ายเข้าไปทันที” เลือกห้องสองห้องที่ดีที่สุดไปแล้วด้วย
ไม่รอให้คุณชายเสียนเกอเอ่ยจบ หนานกงมั่วถีบตัวลอยขึ้นไปทันที มุ่งตรงไปยังภูเขาด้านหลัง ชั่วครู่ก็มองเห็นเพียงร่างในชุดสีฟ้าอยู่ไกลออกไป จากนั้นก็หายไป บรรยากาศระหว่างชายหนุ่มทั้งสองเยือกเย็นลง คุณชายเสียนเกอมองสำรวจคุณชายเว่ยพลางเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “น้องเขย ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว ต้องพยายามเข้า”
คุณชายเว่ยมองเขาด้วยสายตาราบเรียบ “ไม่จำเป็นต้องให้คุณชายเสียนเกอต้องเป็นกังวล”
“ข้าคงกังวลกับพวกเจ้าเกินไป” คุณชายเสียนเกอยิ้มเย็น เขารอให้อาจารย์และอาจารย์ลุงจัดการใครบางคน
“พวกท่านมาทำไม” เว่ยจวินมั่วอารมณ์ไม่ดี เขาไม่อยากเห็นหน้าชายตรงหน้าเลยสักนิด การไปอยู่ที่กองทัพนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลว
คุณชายเสียนเกอยังคงเอ่ย “เรื่องนี้หรือ แน่นอนว่าต้องมาเยี่ยมศิษย์น้องของข้าสิ ยินดีด้วย อาจารย์และอาจารย์ลุงเห็นภูเขาลูกนี้แล้ว ตัดสินใจว่าต่อไปนี้จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปจนแก่เฒ่า ศิษย์น้องช่างเลือกทำเลได้ดีทีเดียว”
“อาจารย์และอาจารย์อาจะมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่ เจ้าเองก็จะใช้ชีวิตบั้นปลายแล้วหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ
คุณชายเสียนเกอมุมปากกระตุก เอ่ยตอบเสียงเรียบ “การใช้ชีวิตบั้นปลายก่อนวัยนับเป็นเรื่องดี คงจะดีกว่าผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องขุนนางขั้นสองที่กลายมาเป็นผู้บังคับการกองร้อย ใช่หรือไม่”
คำตอบของเว่ยจวินมั่วคือ สะบัดแขนเสื้อ เหลือไว้เพียงแผ่นหลังที่เย็นชาแก่คุณชายเสียนเกอ
…
“อาจารย์ อาจารย์อา”
เรือนหลังเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่บนหุบเขา ชายชราที่ดูเหมือนชายชราชาวบ้านทั่วไปกำลังนั่งย่อตัวอยู่ใต้ชายคาด้วยใบหน้าท้อใจ กำลังฟังชายอีกคนที่อายุราวๆ สี่สิบปีเอ่ยบางอย่าง เพียงแต่ท่าทางเป็นทุกข์ของเขาไม่เหมือนกำลังฟังใครพูด แต่เหมือนซุนหงอคงกำลังฟังพระถังซัมจั๋งเทศนา
เมื่อได้ยินเสียงของหนานกงมั่ว ดวงตาของชายชราพลันวาววับขึ้นรีบหมุนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์ที่รัก ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” รีบมาช่วยอาจารย์เถิด อาจารย์ใกล้จะถูกเทศน์ตายแล้ว
หนานกงมั่วมองคนที่พุ่งเข้ามาหาตนเองอย่างขำขัน ชายชราผู้คล่องแคล่วแข็งแรง เห็นท่าทีเช่นนี้ของเขาไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด รอจนชายชราเข้ามาใกล้ตนเองจึงรีบยื่นมือเข้าไปประคอง การเป็นคนที่วรยุทธ์ต่ำต้อยที่สุดจากสี่คนในสำนัก ทำให้ชายชราละทิ้งความพยายามที่จะกอดลูกศิษย์ของตน ปล่อยให้นางพยุงเอาไว้
“อาจารย์ท่านไปทำอันใดอีกแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยถามอย่างจนใจ
ชายชราไม่พอใจ “อะไรที่เรียกว่าทำอันใดอีก”
ชายวัยกลางคนที่สาวเท้าเดินเชื่องช้าตามเข้ามา ส่งเสียงหยัน เอ่ย “หรือเป็นข้าที่ทำอันใดหรือ”
“ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้านะ” ชายชราโกรธขึ้นมา บนโลกนี้ไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ เป็นศิษย์น้องแต่กลับยิ่งใหญ่กว่าศิษย์พี่ ยังเคารพกันอยู่หรือไม่ แต่มองเห็นสายตาของศิษย์น้องที่ปรายตามองมา ชายชราก็แทบจะเป็นลม เอาล่ะ บนโลกใบนี้มีศิษย์น้องเยี่ยงนี้ การเคารพผู้อาวุโสเป็นเรื่องของสำนักอื่น
“อาจารย์อาอย่าได้โกรธ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “หรือว่าท่านอาจารย์แอบดื่มเหล้าของอาจารย์อาอีกแล้วหรือ” อาจารย์ของนางผู้นี้ไม่ได้มีงานอดิเรกอย่างอื่นอีก ก็คือดื่มเหล้าอย่างเดียวเท่านั้น น่าเสียดายเมื่ออายุยังน้อยดื่มเหล้าจนได้เรื่อง อายุมากจึงร่างกายไม่แข็งแรง ดังนั้นทั้งสามคนจึงจำกัดการดื่มของเขา ชายชรานิสัยไม่ได้ต่างจากเด็กมาก ยิ่งไม่ยอมให้เขาดื่มเขายิ่งฮึกเหิม ดังนั้นเพราะเรื่องดื่มเหล้าทำให้เกิดเรื่องไม่น้อย
อาจารย์อามองมายังหนานกงมั่ว ความโกรธลดไปเล็กน้อย เหลือบมองชายชรานิ่งๆ แล้วจึงพยักหน้า บอกใบ้ว่าจะไม่ซักถามเรื่องพวกนี้อีก ชายชราถอนหายใจออกมา ลอบส่งสายตาให้หนานกงมั่ว
“ท่านอาจารย์ อาจารย์อา คิดว่าที่นี่เป็นอย่างไรเจ้าคะ” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เขาชุ่ยเวยแห่งนี้มีพื้นที่ไม่น้อย นางสร้างเรือนสวยงามเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ในภูเขาแห่งนี้ ระยะห่างที่เดินไปมาได้สะดวก และไม่อยู่ใกล้กันจนรู้สึกอึดอัด ส่วนการที่หนานกงมั่วเพียงขึ้นมาแล้วก็หาพวกเขาเจอได้ในทันทีนั้น หนานกงมั่วเองรู้จักอาจารย์ของตนเองป็นอย่างดี เขาต้องเลือกที่ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
เรือนแห่งนี้ไม่ได้สวยหรู เพียงเป็นซื่อเหอหย่วน[1]ตามแบบฉบับเรือนที่ตั้งอยู่ในทิศของทางเหนือ กว้างขวางกว่าเรือนที่พวกเขาอยู่ในตานหยางไม่มากน้อย เพียงแต่ใส่ใจรายละเอียดด้านงานฝีมือมากสักหน่อย เรือนแห่งนี้เพียงออกจากประตูก็มองเห็นภูเขางดงาม ด้านล่างมามีแปลงสมุนไพร ด้านหลังมีบ่อน้ำแร่ที่เกิดจากลำน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา สายน้ำไหลสม่ำเสมอและเงียบสงบ
อาจารย์อาพยักหน้า เอ่ยว่า “โยวโจวหาได้ยากจะมีสถานที่เยี่ยงนี้ สายตามั่วเอ๋อร์ไม่เลวเลย”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “แน่นอนเจ้าค่ะ ภูเขาลูกนี้มีน้ำพุร้อนเยอะมาก ฤดูหนาวก็ไม่ได้หนาวเหน็บเหมือนสถานที่อื่นๆ อาจารย์และอาจารย์อาอยู่ที่นี่จะดีต่อร่างกายเจ้าค่ะ”
ชายชราเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์รู้ว่ามั่วเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู ไม่เหมือนลูกศิษย์ของใครบางคน…”
“เสียนเกอเป็นท่านที่สอน” อาจารย์อาปรายตามองเขาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเย็น
“…”
“เจ้าเด็กเว่ยจวินมั่ว” อาจารย์อาหันมามองหนานกงมั่ว หนานกงมั่วรีบเอ่ยตอบทันที “เขาอยู่ด้านล่าง อยู่กับศิษย์พี่…เขามาแล้วเจ้าค่ะ” ชี้ไปยังเส้นทางบนเขาที่อยู่ไม่ไกล มองเห็นเว่ยจวินมั่วและคุณชายเสียนเกอเดินตามหลังกันมา อาจารย์อาส่งเสียงหยันในลำคอเบาๆ ร่างพุ่งเข้าไปยังทิศทางที่เว่ยจวินมั่วอยู่อย่างรวดเร็ว
[1] ซื่อเหอหย่วน หรือเรือนสี่ประสาน เป็นรูปแบบของบ้านที่มีเรือนล้อมลานกลางบ้านทั้งสี่ทิศ