หลิ่วหันเอ่ย “ฮูหยินกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ หลายวันมานี้โชคดีที่มีเหลียนซิง” ชวีเหลียนซิงไม่ได้มาโยวโจวพร้อมกับพวกเขา ชวีเหลียนซิงไม่มีวรยุทธ์ และฐานะของนางก็ไม่สะดวกหากต้องเดินทางจึงต้องอยู่ที่หลิงโจว รอจนเรื่องราวสงบลงจึงได้มาโยวโจว ชวีเหลียนซิงอาจไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ และไม่มีพรสวรรค์ด้านการรายงานข่าว แต่นางก็ได้ชื่อว่าเป็นสตรีผู้มีความสามารถแห่งหลิงโจว หากมิใช่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดจนต้องไปอยู่ในหอนางโลมก็คงได้เป็นนายหญิงไปแล้ว เมื่ออยู่ที่หอนางโลมก็นับว่าเห็นโลกมามากมาย ต่อมาแต่งงานกับพ่อค้าก็ติดตามไปทั่ว เข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากยิ่งกว่าสตรีทั่วไปอยู่มาก บางอย่างที่หลิ่วหันและซิงเวยไม่เข้าใจเมื่อมาอยู่ในมือของนางก็ราบรื่นไปหมด
“คารวะจวิ้นจู่” ชวีเหลียนซิงรีบเอ่ย สำหรับชวีเหลียนซิงแล้ว วังจื่อเซียวหรือคุณชายเว่ยจะเป็นสถานที่ใดเป็นผู้ใดไม่สำคัญ สำคัญที่สุดก็คือซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่มีบุญคุณกับตนเอง หากนางเลือกอยู่ที่โยวโจว คนของหนานกงมั่วที่ทิ้งเอาไว้สามารถช่วยเหลือนางไปได้ตลอดชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ แต่นางก็เลือกที่จะเดินทางไกลจากจินหลิงมาถึงโยวโจวที่นางไม่คุ้นเคย
หนานกงมั่วยื่นมือไปประคองนางขึ้นมา เอ่ยเสียงเบา “ลำบากเจ้าแล้ว”
ชวีเหลียนซิงรีบส่ายศีรษะ “ได้ช่วยแบ่งเบาจวิ้นจู่ เป็นสิ่งที่ชวีเหลียนซิงควรทำเจ้าค่ะ จวิ้นจู่ คุณชาย เราเข้าไปคุยกันด้านในเถิดเจ้าค่ะ”
ด้านในของเรือนได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ดูไม่ได้สะดุดตาแต่มองออกว่าใช้ความเอาใจใส่ไม่น้อย ทั้งหมดเป็นไปตามความชอบของหนานกงมั่ว แม้มีบางอย่างที่หนานกงมั่วไม่รู้จัก แต่เมื่อมองไปแล้วก็รู้สึกถูกตา
ทุกคนเข้าไปนั่งประจำที่ ชวีเหลียนซิงยกน้ำชามาให้ทั้งสองด้วยตนเอง หนานกงมั่วเอ่ยถาม “หลายวันมานี้ มีเรื่องอันใดหรือไม่”
หลิ่วหันส่ายศีรษะ เอ่ย “รายงานฮูหยิน ทุกอย่างราบรื่นดีเจ้าค่ะ เมื่อเรือนสร้างเสร็จแล้วข้าน้อยได้รายงานต่อองค์หญิง เพียงแต่องค์หญิงบอกว่าตอนนี้คุณชายและฮูหยินไม่อยู่ พระองค์จึงไม่ออกจากเมืองเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ตอนนี้ไม่เป็นไร รอถึงฤดูหนาวคงต้องเชิญเสด็จแม่มาพักที่นี่ชั่วคราว เกรงว่าเสด็จแม่คงทนต่อฤดูหนาวของโยวโจวไม่ไหว”
หลิ่วหันกล่าวตอบรับ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “จวนเยี่ยนอ๋องเองก็เคยส่งคนมาสอบถาม เพียงแต่รู้ว่าคุณชายและฮูหยินสร้างกิจการอยู่ที่นี่ก็กลับไปเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยิน หนานกงมั่วจึงขมวดคิ้ว เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเข้ม “เสด็จลุงรู้เรื่องที่นี่ คนที่ถูกส่งมาเป็นคนของพระชายาเยี่ยนอ๋องหรือ”
หลิ่วหันและซิงเวยมองสบตากัน ส่ายศีรษะ เอ่ยตอบอย่างละอายใจ “คุณชายได้โปรดอภัยด้วย ข้าน้อย…ไม่รู้ขอรับ” พวกเขาคิดว่าเป็นคนของจวนเยี่ยนอ๋อง แต่ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนส่งมา ในเมื่อเยี่ยนอ๋องรู้แล้ว แน่นอนว่าคงไม่ส่งใครมา เยี่ยนอ๋องไม่ส่งคนมาถาม นั่นหมายความว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็คงไม่ตัดสินใจด้วยตนเอง อย่างน้อยก็คงคุยกับเยี่ยนอ๋อง เช่นนั้น…เป็นคุณชายทั้งสามอย่างนั้นหรือ
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ต่อไปละเอียดสักหน่อย” ที่นี่ความจริงไม่มีอันใดต้องปิดบัง ใช่ว่าไม่อาจบอกใครได้ เพียงแต่เว่ยจวินมั่วไม่ชอบให้คนมายุ่งกับของของอู๋สยาก็เท่านั้น
“ขอรับ คุณชาย”
ชวีเหลียนซิงเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องต้องรายงานคุณชายและจวิ้นจู่เจ้าค่ะ สวนสมุนไพรด้านล่างส่วนหนึ่งอีกสองเดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ไม่รู้ว่าจวิ้นจู่มีแผนการเช่นไรเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเอ่ย “หมอยาที่ข้าให้พวกเจ้าไปหาก่อนหน้านี้ หาได้แล้วหรือ”
หลิ่วหันพยักหน้า “ทั้งหมดมียี่สิบกว่าคน หลายวันมานี้คอยช่วยดูแลสวนสมุนไพรด้านล่างเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “เดี๋ยวข้าจะมอบสูตรยาให้กับพวกเจ้า รอสมุนไพรด้านล่างนั้นเก็บเกี่ยวได้เมื่อใดก็จัดการปรุงยาตามสูตรแล้วทำเป็นเม็ดหรือแบบผง”
ชวีเหลียนซิงดวงตาวาววับ เอ่ย “จวิ้นจู่ตั้งใจจะขายเป็นยาหรือเจ้าคะ” โดยทั่วไปแล้วคนที่ปลูกสมุนไพรล้วนแล้วแต่ขายสมุนไพร อย่างไรสูตรยาก็เป็นความลับ พวกเขาไม่แน่ว่าจะมี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงยาที่ปรุงออกมาแล้วมีระยะเวลาจำกัด หากขายออกไม่หมดเช่นนั้นคงเสียหาย
หนานกงมั่วเอ่ยว่า “ตอนนี้สมุนไพรของเรามีไม่มาก ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก สำหรับหลังจากนี้…ข้าต้องหาลู่ทางก่อนจะเพิ่มปริมาณในการปรุงยา ยิ่งไปกว่านั้น…แม้ยาที่ปรุงสำเร็จจะมีอายุจำกัด แต่ไหนเลยสมุนไพรจะไม่มีเช่นกัน” หากเอ่ยถึงเรื่องการจัดเก็บ สมุนไพรไม่เก็บง่ายเท่ายาที่ถูกปรุงเรียบร้อย ยาที่ถูกปรุงแล้วเพียงไม่โดนน้ำก็ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นโดนฝนโดนแดดหรือไฟไหม้ล้วนแต่เป็นปัญหา หนานกงมั่วเชื่อว่ายาเหล่านั้นที่มีสรรพคุณครอบคลุม เมื่อเทียบกับวัตถุดิบเดิมบรรดาผู้ปกครองเมืองคงชื่นชอบยาที่ถูกปรุงเรียบร้อยมากกว่า
ทั้งสามคนพยักหน้า เอ่ยตอบรับโดยพร้อมเพรียง ชวีเหลียนซิงยังนำสมุดบัญชีในช่วงหลายเดือนนี้มาให้หนานกงมั่วดู หนานกงมั่วดูอย่างรวดเร็ว เมื่อวางสมุดบัญชีลงแล้วก็อดชื่นชมชวีเหลียนซิงไม่ได้ ชวีเหลียนซิงฉลาดหลักแหลมไม่พอ อีกทั้งยังละเอียดถี่ถ้วน เหมาะสมกับการดูแลจัดการบัญชี เมื่อเอ่ยชื่นชมชวีเหลียนซิงไปหนึ่งรอบ ใบหน้างดงามของหญิงสาวพลันแดงระเรื่อขึ้น เอ่ยขอตัวลาออกไปพร้อมกับพวกหลิ่วหันอย่างเขินอาย เพียงแต่เดิมทีชวีเหลียนซิงรู้สึกเสียใจเมื่อนางขอติดตามเข้าไปดูแลหนานกงมั่วในกองทัพทว่ากลับถูกปฏิเสธ แม้แต่หลิ่วหันที่มีวรยุทธ์สูงส่งยังไม่อาจติดตามเข้าไปได้ ชวีเหลียนซิงที่เพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ชวีเหลียนซิงเองก็ไม่โกรธ เมื่อออกมาจากเรือนเล็กก็จูงมือหลิ่วหันไปฝึกวรยุทธ์ต่อ
เมื่อทั้งสามคนออกไปแล้ว เรือนเล็กพลันสงบลง หนานกงมั่วยังคงอิงอยู่กับไหล่เว่ยจวินมั่ว มองออกจากห้องไปยังเรือนเล็กๆ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เว่ยจวินมั่วก้มไปมองนาง เอ่ยเสียงเบา “หัวเราะอันใด” หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “ไยท่านจึงมอบดาบหงหมิงให้อาจารย์อาหรือ”
“ไม่ดีหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “ข้านึกว่าท่านคิดจะมอบให้กับเยี่ยนอ๋อง” อย่างไรดาบหงหมิงก็ไม่ธรรมดา เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างที่เอ่ย ดาบหงหมิงมอบแก่เยี่ยนอ๋องใช้ก็มิได้มีประโยชน์นัก”
หนานกงมั่วมองเขาไม่มีคำจะเอ่ย “ท่านช่างเป็นหลานที่กตัญญู”
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วไม่เอ่ยสิ่งใด เขากตัญญูต่อเสด็จลุงนั่นเป็นอีกเรื่อง การปัดฝุ่นดาบก็เป็นอีกเรื่อง เห็นชัดว่าดาบหงหมิงไปอยู่กับอาจารย์อาจะมีประโยชน์กว่าอยู่กับเยี่ยนอ่อง อีกทั้ง…ไม่มีดาบหงหมิงเขาจะเอาสิ่งใดไปให้แล้วทำให้อาจารย์อาไม่กล้ามาหาเรื่องเขาเล่า ต่อสู้กับยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์สูงส่งกว่าตนเองแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี
ยื่นมือออกไปคว้านางเข้าสู่อ้อมกอด เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามเสียงเบา “ชอบที่นี่หรือไม่”
หนานกงมั่วพยักหน้า “เป็นที่ที่ไม่เลว สบายกว่าในเมืองโยวโจวมาก”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ต่อไปพวกเราก็อยู่ที่นี่”
หนานกงมั่วถอนหายใจ “อย่าพึ่งฝันหวานเลย หนึ่งปีได้มาสักสิบวันครึ่งเดือนก็นับว่าไม่เลวแล้ว” เว่ยจวินมั่วเอ่ย “อย่างไรก็ต้องมีเวลา” หนานกงมั่วยิ้มหวาน “หวังว่าคงไม่ต้องรอให้เราแก่จนเดินไม่ไหวแล้ว”
“ไม่หรอก” เว่ยจวินมั่วเอ่ย “วันนี้พวกเราก็พักกันที่นี่เถิด พรุ่งนี้ค่อยกลับไป”
“เช่นนี้จะดีหรือ” ยามนี้จวนเยี่ยนอ๋องกำลังวุ่นวาย พวกเขาหนีออกมาเช่นนี้ก็นับว่าเจียดตัวออกมาจากงานที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว
“มีอันใดไม่ดีเล่า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม “อู๋สยาถามข้าว่าชอบเด็กมิใช่หรือ”